อนาถบิณฑิกสูตร


    ใน สังยุตตรนิกาย สคาถวรรค อนาถบิณฑิกสูตรที่ ๑๐ มีข้อความว่า

    อนาถบิณฑิกเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กล่าวคาถา เหล่านี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ก็พระเชตวันนี้นั้น อันหมู่แห่งท่านผู้แสวงคุณพำนักอยู่ พระธรรมราชาก็ประทับอยู่แล้ว เป็นที่ให้เกิดปิติแก่ข้าพระองค์ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วยส่วน ๕ นี้ คือ กรรม วิชชา ธรรม ศีล และชีวิตอันอุดม หาใช่บริสุทธิ์ด้วยโคตรหรือทรัพย์ไม่ เพราะเหตุนั้นแหละบุรุษผู้เป็นบัณทิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ของตน พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคายอย่างนี้ จึงจะบริสุทธิ์ในธรรมนั้น พระสารีบุตรรูปเดียวเท่านั้น เป็นผู้ประเสริฐด้วยปัญญา ศีลและธรรมเครื่องสงบระงับ ภิกษุใดเป็นผู้ถึงซึ่งฝั่ง ภิกษุนั้นก็มีท่านพระสารีบุตรนั้นเป็นอย่างเยี่ยม เมื่ออนาถบิณฑิกเทวบุตรได้กล่าวดังนี้แล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณแล้วอันตรธานไปในที่นั้นเอง

    นี่คือพระอริยบุคคล ซึ่งเป็นอุบาสกผู้เลิศในการถวายทาน แล้วก็เป็นสังฆรัตนะ คือได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล เมื่อท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว ท่านก็ได้ไปเกิดในชั้นดุสิตและได้มาเฝ้าพระผู้มีพระภาค ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่าดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้เทวบุตรองค์ ๑ เมื่อราตรีปฐมยามสิ้นไปแล้ว มีวรรณะงามยิ่งนัก ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ ครั้นแล้วก็อภิวาท แล้วได้กล่าวคาถามีข้อความ (อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้ว) เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เทวบุตรนั้นเห็นจะเป็นอนาถบิณฑิกเทวบุตรแน่ อนาถบิณฑิกคฤหบดีได้เลื่อมใสยิ่งนักในท่านพระสารีบุตร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร อานนท์ ถูกละ ถูกละ ดูกร อานนท์ ข้อที่จะพึงถึงด้วยการนึกคิด มีประมาณเพียงเท่าใดนั้น เธอถึงแล้ว ดูกร อานนท์ก็ เทวบุตรนั้นคืออนาถบิณฑิกเทวบุตร

    อันนี้ก็เป็นเครื่องที่จะให้ท่านได้ระลึกถึงท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า ณ บัดนี้ท่านอยู่ที่ไหน แต่แม้กระนั้นท่านก็ได้ความปิติจากพระวิหารเชตวันที่ท่านได้สร้างถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ และสำหรับข้อความที่ว่า "สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วยส่วน ๕ นี้" คือ กรรม ๑ วิชชา ๑ ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอันอุดม ๑ อันนี้ก็ไม่พ้นไป จากเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน หรือว่าไม่พ้นจากเรื่องการ เจริญมรรค ๘ สำหรับบริสุทธิ์ด้วยส่วน ๕ ส่วนที่ ๑ คือ "กรรม" นั้นก็ได้แก่การกระทำที่ถูกต้องด้วยการออกบวชเป็นบรรพชิต มีความตั้งใจที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจจ์ ๔ นี่เป็นการงานที่ถูกต้องทีเดียว นี่เป็นเจตนาหรือความตั้งใจที่ชอบในการที่จะคิดสละกาม หรือในการที่จะออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประพฤติปฏิบัติธรรม ให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม

    สำหรับ "วิชชา ๑" นั้น ก็ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ

    สำหรับ "ธรรม ๑" นั้น ก็ได้แก่ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

    สำหรับ "ศีล ๑" นั้น ก็ได้แก่ สัมมาวาจา และ สัมมากัมมันตะ

    สำหรับ "ชีวิตอันอุดม" ก็ได้แก่ สัมมาอาชีวะ

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า พยัญชนะเรื่องของการเจริญมรรคมีองค์ ๘ นั้น บางครั้งบางแห่งก็แสดงไว้ด้วยพยัญชนะอีกพยัญชนะหนึ่ง แทนที่จะแสดงเรื่องมรรคมีองค์ ๘ ก็แสดงเป็นเรื่องของวิชชา ธรรม ศีล และชีวิตอันอุดม สำหรับเรื่องของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ในตอนท้ายแม้ว่าท่านจะเป็นเทพ บุตร ท่านก็ได้กล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตรด้วยข้อความที่เป็นคาถาว่า ท่านพระสารีบุตรรูปเดียวเท่านั้น เป็นผู้ประเสริฐด้วยปัญญา ศีล และธรรมเครื่องสงบระงับ ภิกษุใดเป็นผู้ถึงซึ่งฝั่ง ภิกษุนั้นก็มีท่านพระสารีบุตรนั้นเป็นอย่างเยี่ยม เวลาที่ท่านผ่านพยัญชนะนี้ท่านรู้สึกยังไงคะ รู้สึกว่าท่านอนาถบิณฑิก เทพบุตรนี่ลำเอียงหรือเปล่าคะ ที่กล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตร หรือว่าท่านมีความรู้สึกนอบน้อมเป็นพิเศษอย่างไรจึงได้กล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตร หรือท่านก็อาจจะผ่านไปโดยไม่คิดเลยว่าเพราะเหตุใด แต่ว่าความจริงนั้นผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลนั้น จะมีความเลื่อมใสหรือจะมีความนอบน้อมในบุคคลใดนั้น ท่านมีความนอบน้อมที่ไม่เหมือนกับปุถุชน ปุถุชนเลื่อมใสนอบน้อมผิดได้ตามความคิดตามความคาดคะเน หรือว่าตามความเข้าใจในบุคคลนั้นๆ แต่ผู้เป็นพระอริยบุคคลเป็นผู้ที่ได้รู้แจ้งธรรม การเลื่อมใสหรือความนอบน้อมของท่านนั้น ไม่เป็นไปในทางที่ผิดเลย แต่เพราะเหตุไร ท่านอนาถปิณฑิกเทพบุตรจึงได้กล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตรด้วยข้อความว่า "พระสารีบุตรรูปเดียวเท่านั้น เป็นผู้ประเสริฐด้วยปัญญา ศีล และธรรมเครื่องสงบระงับ ภิกษุใดเป็นผู้ถึงซึ่งฝั่ง ภิกษุนั้นก็มีท่านพระสารีบุตรนั้นเป็นอย่างเยี่ยม"

    ข้อความที่อนาถปิณฑิกเทพบุตรกล่าว เป็นข้อความที่จริงหรือไม่จริง ในพระสาวกทั้งหมดท่านพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา เป็นพระสาวกผู้เป็นเอตทัคคะผู้เป็นเลิศด้วยปัญญา ไม่มีผู้ใดในบรรดาสาวกทั้งหมดที่มีปัญญายิ่งกว่าท่านพระสารีบุตร เพราะฉะนั้น ที่อนาถปิณฑิกเทพบุตรมีความเลื่อมใส กล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตรด้วยคาถานี้จึงเป็นความจริง และอีกประการหนึ่งก่อนที่ท่านอนาถบิณฑิกจะสิ้นชีวิต ท่านพระสารีบุตรได้แสดงธรรมกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งทำให้ท่านเกิดปิติเกิดความซาบซึ้งในพระธรรมอย่างยิ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านอนาถปิณฑิกเทพบุตร จะมีความเลื่อมใสในท่านพระสารีบุตรเกินกว่าพระผู้มีพระภาค ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเหตุว่าพระอริยสาวกทั้งหลายย่อมมีความเคารพนอบน้อมอย่างยิ่งในพระผู้มีพระภาคและในศาสนาของพระผู้มีพระภาค คือในพระรัตนตรัย ฉะนั้น ที่ท่านอนาถปิณฑิกเทพบุตรมีความเลื่อมใสในท่านพระสารีบุตรนั้นก็โดยตำแหน่งของสาวก ซึ่งเป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทางปัญญา และท่านเองก็ได้รับฟังคำเทศนาของท่านพระสารีบุตรเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง ได้เห็นความเป็นผู้เลิศด้วยปัญญาของท่านพระสารีบุตร เพราะฉะนั้น ท่านก็ได้กล่าวคาถาที่แสดงความเลื่อมใสต่อท่านพระสารีบุตร แล้วเวลาที่ท่านพระสารีบุตรแสดงธรรมกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้นท่านพระอานนท์ก็ได้ไปด้วย ได้ไปเยี่ยมท่านอนาถบิณฑิกด้วย ฉะนั้น ก็ได้เห็นความเลื่อมใสที่ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีมีต่อท่านพระสารีบุตร เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสให้พระภิกษุสงฆ์ทราบ เรื่องของเทพบุตรที่กล่าวสรรเสริญพระเชตวันวิหาร ท่านพระอานนท์ทราบได้ทันทีว่าเทพบุตรนั้นก็คงจะเป็นอนาถปิณฑิกเทพบุตรนั่นเอง


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 27


    หมายเลข 13449
    15 เม.ย. 2568