สิ่งที่มีจริงคืออะไร มีในขณะไหน
ผู้ฟัง เมื่อสักครู่นี้เราก็พูดถึงในสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม สิ่งที่ไม่มีจริงก็ต้องมี
อ.อรรณพ ที่ท่านอาจารย์เน้นให้เข้าใจถึงสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เพื่อเป็นพื้นฐานของการที่วันหนึ่งเราจะรู้สิ่งที่มีจริง ซึ่งกำลังปรากฏ และเราก็จะรู้ว่าสิ่งที่เราเคยคิดว่ามีจริงนั้นไม่มีจริง นี่คือประโยชน์ของการมุ่งที่จะเข้าใจในสิ่งที่มีจริง เพราะเมื่อขณะใดเป็นขณะที่เข้าใจในขณะที่เป็นสิ่งที่มีจริง ขณะนั้นเป็นขณะที่ปัญญาเกิด ก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่เราเคยยึดว่าเป็นสัตว์บุคคล เป็นชื่อ เป็นรูปร่างสัณฐานเหล่านี้ไม่มี แต่จริงๆ แล้วมีเพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทีละอย่างเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นประโยชน์ก็คือ ศึกษาถึงสิ่งที่มีจริง แล้วจะเข้าใจตามความเป็นจริง ว่าสิ่งที่เราถูกปกคลุมมาตลอด คือชื่อ และก็ความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนนั้นไม่มี ด้วยความที่ประจักษ์ในความที่สิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏ
อ.ธีรพันธ์ สิ่งที่ไม่มีจริงไม่ได้หมายความว่า เราต้องมีความเห็นผิดเสมอไป อย่างเช่นวันอาทิตย์นี่ บางคนอาจมีความเห็นว่าเป็นเพียงบัญญัติเท่านั้นเอง บัญญัติเรื่องราวให้รู้ว่ากำหนดวันนี้นะเป็นวันฟังพระธรรมที่เรามากัน ถ้าเราไม่มีคำว่าวันอาทิตย์ วันจันทร์ ก็คิดว่าคงจะดำเนินชีวิตไปด้วยความไม่สะดวกใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ แล้วคุณจำนงหาวันอาทิตย์มาสิคะ ว่าอยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง วันอาทิตย์ก็อยู่ที่จิต กำลังมีจริงขณะนี้ จิตที่คิดว่าวันอาทิตย์นี้ จิตนั้นน่ะมีจริง
ท่านอาจารย์ แล้ววันอาทิตย์มีจริง หรือเปล่า
ผู้ฟัง วันอาทิตย์ไม่มีจริง ที่ผมต้องแยกตรงนี้เพราะผมติดอยู่ตรงนี้มา กว่าจะแยกออก
ท่านอาจารย์ ตอนนี้จะลำบากหน่อยไหมคะ วันอาทิตย์ไม่มีจริง
ผู้ฟัง จิตที่คิดนี่แหล่ะครับ เมื่อสักครู่นี้ที่ท่านอาจารย์ถาม
ท่านอาจารย์ ถ้าจิตไม่คิดคำว่า “วันอาทิตย์” จะมีความเข้าใจในคำนั้นไหมว่า “วันอาทิตย์” เพราะฉะนั้น ถ้าจิตไม่คิดถึงคำว่าวันอาทิตย์ คิดถึงวันจันทร์ วันอาทิตย์ และวันจันทร์อยู่ที่ไหน ไม่มีเลย นี่ก็เป็นเรื่องต่อไปที่เราจะได้ทราบว่าทั้งหมดนี้ เราจะแยกออกเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และเรื่องราวทั้งหมดที่เราเคยมี และก็คิดว่าจริง อะไรจริง ในขณะนั้น
ผู้ฟัง สิ่งที่มีจริงขณะนั้น คือจิต แต่สตางค์ก็ไม่มีจริง
ท่านอาจารย์ ยอมรับไหมคะ ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ฟังเรื่องธรรม และตอนนี้บอกว่าสตางค์ไม่มี ไม่จริง สตางค์ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง ยอมรับไหมคะ ไม่ยอมรับใช่ไหมคะ จนกว่าจะยอมรับด้วยการพิจารณาของเรา ว่าอะไรจริงในขณะที่กำลังคิดว่า “สตางค์” ใช่ไหมคะ จิตเห็นขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังเห็นนี่คะ คิดได้ไหมคะ ได้ หรือคะ แต่วันนี้ขอให้มีความมั่นใจ เพราะเมื่อกี้พอถามว่าสตางค์มีจริงๆ หรือเปล่า ก็บอกว่าสตางค์ไม่มี นี่ก็ยังสงสัยอยู่ แสดงว่ามีความเข้าใจในปรมัตถธรรม สามารถที่จะรู้ความต่างในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะไหน ถ้าจะกล่าวว่าสิ่งที่มีจริงต้องในขณะไหน ขณะเห็นเฉพาะเห็น ชั่วขณะที่เห็น คิดนึกมีจริงๆ หรือเปล่า นี่แหล่ะค่ะแยกละเอียดไปแล้ว ว่าในขณะที่เห็น ไม่ใช่ในขณะที่คิด คิดมีจริงต่อเมื่อขณะนั้นไม่ใช่เห็น แล้วเป็นคิด ขณะนั้นคิดจึงมีจริง นี่เริ่มเป็นปัญญาของเรา ที่จะต้องคิดพิจารณา มีอย่างเดียว หรือว่ามีหลายอย่าง หลากหลาย สิ่งที่ปรากฏจริงๆ ในชีวิตแต่ละขณะนี่แหล่ะค่ะ แต่ว่ายังไม่ได้มีความเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่ปรากฏคืออะไร จนกว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงพระธรรม เมื่อนั้นก็จะมีผู้ที่สามารถเข้าใจ และเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามควรแก่การสะสม ผู้ที่ฟังในครั้งโน้นเป็นผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญามามาก อย่างท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เพียงท่านได้ฟังเมื่อจบเทศนา ท่านก็สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ จนกระทั่งเป็นพระอริยบุคคล เป็นสาวกรูปแรก เพราะการที่ท่านได้สะสมความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมมามาก ที่จะเข้าใจว่าเมื่อตรัสถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ท่านก็มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจนกระทั่งประจักษ์ความจริงเป็นอริยสัจจธรรม สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมได้
เพราะฉะนั้น ถ้าเปรียบเทียบเรากับบุคคลในครั้งโน้น ขณะนี้ก็ได้ยินได้ฟังเรื่องธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นเครื่องวัดด้วยปัญญาความเข้าใจของเราเอง ไม่ต้องอาศัยคนอื่นบอกเลยว่าขณะนี้เรามีความรู้มาก หรือน้อย หรือว่ายังไม่รู้ หรือเพิ่งเริ่มจะสนใจ ที่จะรู้ว่าสัจจธรรมความจริงแท้ที่สุด ก็คือลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง และก็ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะต้องมีลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งวันนี้เริ่มจะได้ทราบว่าทุกอย่างเป็นธรรม แต่ก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องคิดด้วยความเข้าใจของเราเองว่า ธรรมที่ปรากฏมีเพียงลักษณะเดียวอย่างเดียว หรือว่ามีความหลากหลายมากมายหลายอย่างตามความเป็นจริง
ผู้ฟัง ก็มีทีละลักษณะทีละอย่าง แต่ธรรมนั้นมากมาย หลายอย่างหลากหลาย
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าสิ่งที่มี ที่ปรากฏจริงๆ ลักษณะต่างกัน เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ เป็นสภาพธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง เริ่มรู้แล้วใช่ไหมคะว่าเราเข้าใจสิ่งนี้แค่ไหน หรือว่ายังไม่ได้เข้าใจเลย ทั้งๆ ที่ก็ยังมองเห็นอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ก็ให้ทราบว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีจริงๆ เป็นลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งลักษณะ ได้ยินเสียง เสียงก็มีจริงๆ ในขณะนี้เองที่กำลังได้ยินเสียง เสียงก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง ลักษณะของเสียงต้องต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีอะไรพ้นจากธรรมเลย ไม่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นธรรม เสียงก็เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม คิดมีจริง หรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง มีจริงครับ
ท่านอาจารย์ คิดมีจริง เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งต่างจากสิ่งที่ปรากฏทางตา และต่างกับเสียงที่ปรากฏทางหู เพราะฉะนั้นความรู้สึกโกรธมีจริงไหมคะ มี เป็นธรรม เพราะฉะนั้นหลากหลายมากธรรม แต่ประมวลลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ก็จะต่างกันเป็นสองอย่างใหญ่ๆ แต่ว่าถ้าต่างกันโดยละเอียดก็มากมายกว่านั้น นี่ก็เป็นสิ่งที่เราฟังไปคิดไป และเข้าใจไป เพราะถ้าเราจะใช้คำว่าสิ่งนี้เป็นนาม สิ่งนั้นเป็นรูป เรารับฟังได้ แต่ว่าเราพิจารณาในความเป็นจริงของสิ่งนั้นด้วยความเข้าใจของเรามากน้อยแค่ไหน เช่น ถ้ากล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ขณะนี้ และก็มีลักษณะหลากหลายต่างกันแต่ประมวลโดยประเภทใหญ่ๆ ก็จะรู้ได้ว่า ธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น มี เช่นเสียง ปรากฏลักษณะของเสียงเป็น ลักษณะที่ดัง จะมากจะน้อยก็ตามแต่ แต่ที่เราใช้คำว่าเสียงบ่งถึง ลักษณะของสภาวธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถปรากฏทางหูได้ ขณะนั้นก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่รู้ คือว่าไม่หิว ไม่จำ ไม่โกรธ เสียงโกรธเป็นไปได้ไหม ตัวเสียง ไม่ได้เลย เสียงหิวเป็นไปได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เสียงก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง คือประเภทของธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีจริง
คำว่า ธาตุ กับคำว่า ธรรมความหมายเหมือนกัน หมายความถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นธรรมเป็นธาตุ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ทางภาษาบาลีใช้คำว่า “รูป” หรือว่า “รูปธาตุ” หรือ“รูปธรรม” คือธรรมที่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้นะคะ วันนี้เราตอบได้หมดว่ารูปธรรม หรือรูปธาตุที่มีจริงๆ ที่เรารู้ เอาที่เรารู้ก่อนนะคะ เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปตามตำราว่ามีจำนวนเท่าไหร่ แต่ที่มีจริงๆ ที่ปรากฏให้รู้ ในวันหนึ่ง วันหนึ่ง ลองคิดดูสิคะว่ามีอะไรบ้าง รูปธรรม หรือรูปธาตุ สิ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไร แต่มีลักษณะที่ปรากฏให้รู้ได้ทุกวันๆ มีอะไรบ้าง
ผู้ฟัง มีรูปที่เกิดทางตา เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก รสทางลิ้น แล้วก็โผฏฐัพพะทางกาย
ท่านอาจารย์ พิสูจน์ได้ใช่ไหม ที่คุณปรเมศว์กล่าวถึงเมื่อกี้นี้ คือสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นหนึ่งรูปล่ะ คนที่ไม่เห็นคือคนที่ตาบอด แต่คนตาไม่บอดต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงเป็นรูปๆ หนึ่ง คนที่หูไม่หนวกก็มีเสียงปรากฏให้รู้ได้ เป็นรูปที่สอง คนที่กำลังได้กลิ่นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นกลิ่นมีจริงๆ ปรากฏ เป็นรูปที่สาม ขณะที่กำลังรับประทานอาหารก็มีการลิ้มรสต่างๆ รสหวานจะกระทบกับตัวไม่มีทางจะรู้ได้เลย แต่ต้องถึงลิ้นจึงสามารถที่จะมีการรู้รส ว่ารสนั้นหวาน รสนั้นเค็ม รสนั้นเปรี้ยว
เพราะฉะนั้น รสก็เป็นอีกรูปหนึ่งที่รู้ได้ทางลิ้น ส่วนทางกายก็มีเย็น หรือว่าร้อน ขณะนั้นก็เป็นรูป อ่อน หรือว่าแข็ง ขณะนั้นก็เป็นรูป ตึง หรือไหว ขณะนั้นก็เป็นรูปที่สามารถจะรู้ได้ในขณะที่กระทบสัมผัสกาย เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย รูปจริงๆ ที่ปรากฏไม่ขาดเลย ก็มีเพียงเจ็ดรูป ทางตาหนึ่งรูป ทางหูหนึ่งรูป ทางจมูกหนึ่งรูป ทางลิ้นหนึ่งรูป ทางกายสามรูป คือเย็น หรือร้อนหนึ่ง อ่อน หรือแข็งหนึ่ง ตึง หรือไหวหนึ่งเป็นรูป นอกจากนั้นเป็นสภาพธรรมอื่นทั้งหมดซึ่งไม่ใช่เจ็ดรูปนี้ เพราะฉะนั้น การที่จะมีรูปหนึ่งรูปใดปรากฏจะต้องปรากฏกับสิ่งที่มีจริงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเราไม่เคยคิดเลย เพราะว่าเป็นเราหมดที่เห็น เราเห็น เราได้ยิน เราคิดนึก เราได้กลิ่น เราโกรธ เราขยัน เราทุกอย่างหมด
แต่ว่าความจริงสิ่งต่างๆ เรานั้นไม่ใช่ว่าไม่มี เป็นสิ่งที่มีแต่ว่าเป็น “นามธรรม” ไม่มีรูปร่าง ไม่มีหน้าตา ไม่อ่อน ไม่แข็ง ไม่หวาน ไม่เค็ม แต่ว่าธาตุชนิดนี้เป็นธาตุซึ่งเป็นสภาพที่สามารถจะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏให้รู้ ซึ่งเคยเป็นเรา แต่จริงๆ แล้วก็เป็นธาตุแต่ละอย่าง ซึ่งถ้าเป็นนามธาตุ ก็คือเป็นธาตุที่ต่างจากรูปธาตุโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นในโลกนี้ หรือในโลกไหน บนสวรรค์ หรือที่ในนรก ในน้ำบนบก ก็จะมีธรรมที่ต่างกันเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือนามธรรมกับรูปธรรม แล้วอะไรที่ทำความเดือดร้อนให้เรา นามธรรม หรือรูปธรรม
ผู้ฟัง เป็นนามธรรมครับ เป็นกิเลสที่เราได้สะสมมาครับ
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่านามธรรม เป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ถ้ามีแต่รูปธรรมเท่านั้น ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีการเดือดร้อนใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เพราะเหตุว่านามธรรมเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยก็เกิดขึ้น เช่นเดียวกับรูปธรรมก็ต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้น แต่ว่าลักษณะของสภาพธรรมสองอย่างที่เกิดขึ้นนี้ต่างกัน คือลักษณะของรูปธรรมนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ส่วนนามธรรมก็เป็นสภาพรู้ นี่แหล่ะคือการทรงแสดงธรรมทั้งหมด ก็เพื่อให้สามารถประจักษ์ความจริงของธรรมสองอย่างนี้
ถ้าประจักษ์ความจริงว่าเป็นเพียงธาตุ หรือว่าเป็นแต่เพียงธรรม ก็ไม่มีการที่จะเป็นทุกข์อีกต่อไป เพราะเหตุว่า ใครจะไปยับยั้งการเกิดขึ้นของธาตุแต่ละอย่างได้ เมื่อมีเหตุปัจจัย นามธาตุก็เกิด หรือว่าเมื่อมีเหตุปัจจัยของรูปธาตุ รูปธาตุก็เกิด เพราะฉะนั้น เราก็จะเข้าถึงความหมายของคำว่า “อนัตตา” หมายความว่าสภาพธรรมมีจริง แต่ว่าสภาพธรรมนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของใครเลย บังคับบัญชาไม่ได้ แต่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น นี่คือความหมายของ “อนัตตา” อนัตตาสำหรับธรรมทุกอย่าง สัพเพ ธัมมา อนัตตา เคยเป็นตัวเราทั้งหมดแต่ว่า เมื่อศึกษาธรรมแล้วก็จะรู้ว่า เป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งเป็นอนัตตา คงไม่มีใครอยากมีจิตใจที่ไม่ดี ริษยา มานะ ต่างๆ แต่ธาตุชนิดนี้มี เพราะฉะนั้น การสั่งสมของธาตุแต่ละอย่าง ก็ปรากฏเป็นอาการของบุคคลซึ่งมีอุปนิสัยต่างๆ กัน แต่เราเรียกชื่อ ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ชอบชื่อนั้น เพราะเป็นคนนั้น ใช่ไหมคะ แต่ความจริงอกุศลธรรมต่างหาก ที่ไม่มีใครชอบเลย เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ก็รู้จักสิ่งที่มีจริงๆ เอาชื่อออกก็เหลือแต่ธรรมทั้งหมด เวลาที่อกุศลธรรมประเภทไหนเกิดขึ้น เราก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า จริงๆ แล้วไม่มีคนนั้น แต่มีธรรมซึ่งกำลังปรากฏ โดยการที่เราใช้ชื่อ นี่คือการที่เราจะค่อยๆ เข้าใจว่า จริงๆ แล้ว โลกนี้ไม่ใช่คน สัตว์ใดๆ ที่เราเคยยึดถือว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแล้วก็เที่ยง แล้วก็ไม่แตกดับเลยแต่ก็เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น และก็ดับไป
พอจะคล้อยตามได้ หรือยังคะ อย่างนี้ ต้องฟังอีกนานไหมกว่าจะรู้จริงๆ ว่าที่เราฟังมาแล้วเราเข้าใจถึงตรงนี้จริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเพียงแต่ว่าได้ยินได้ฟัง แล้วก็ค่อยๆ เริ่มที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่ปิดบังเรา ก็คือสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่รู้ความจริง รู้ความจริงเมื่อไหร่ก็เริ่มที่จะเห็นตามความเป็นจริง ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง
ที่มา ...