เทวทูต (เทวทูตสูตร) ๓


    แต่ว่ามหานรกนั้นแล มีนรกเต็มด้วยคูถใหญ่ ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงในนรกคูถนั้น และในนรกคูถนั้นแล มีหมู่สัตว์ปากดังเข็มคอยเฉือดเฉือนผิว เฉือดเฉือนหนัง แล้วเฉือดเฉือนเนื้อ แล้วเฉือดเฉือนเอ็น แล้วเฉือดเฉือนกระดูก แล้วกินเยื่อในกระดูกสัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกคูถนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

    แสดงให้เห็นสภาพของนรกว่า มีลักษณะต่างๆ มหานรกเต็มไปด้วยไฟ และสัตว์ที่เกิดในมหานรกนั้น จะต้องถูกทรมานด้วยไฟนรก วิ่งไป วิ่งมา พยายามเหลือเกินที่จะออกจากนรกนั้น และในกาลบางครั้งประตูเปิด สัตว์นั้นออกไปได้จริงๆ แต่ว่ารอบมหานรกนั้น มีนรกเต็มไปด้วยคูถใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน คูถเป็นอุจจาระ มีโอกาสที่จะอยู่ในนั้นบ้างไหม แม้ในโลกนี้ มีใครเคยตกลงไปบ้างไหม ท่านที่ได้สนทนากับผู้ศึกษาธรรมคงจะเคยได้ฟังว่า มีคนตกลงไปจริงๆ ด้วยวิบากที่จะได้รับผลอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นผลของกรรมที่จะได้รับความทรมานอยู่ที่นั่นตลอดเวลา เป็นระยะเวลาที่นาน และในที่นั้นยังมีสัตว์ปากดังเข็มคอยเฉือนผิว เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก และกินเยื่อในกระดูก

    สัตว์ที่คอยกินอย่างนี้มีไหม ในโลกมนุษย์มีไหม มี และถ้าเป็นโลกอื่นที่จะต้องได้รับความทรมานมาก ก็เป็นสิ่งที่มีได้ เพราะฉะนั้น บางทีท่านคิดว่า นรกเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ก็ขอให้คิดเปรียบเทียบถึงความทุกข์ทรมานในโลกนี้ว่า ทำไมมีได้ทั้งๆ ที่เป็นสุคติภูมิ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นทุคติภูมิ ความทุกข์ทรมานย่อมมีได้ และมากกว่าด้วย

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย และนรกคูถนั้น มีนรกเต็มด้วยเถ้ารึงใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน (เถ้ารึงใหญ่ คือ ถ่านที่ติดไฟคุ มีขี้เถ้าติดอยู่) สัตว์นั้นจะตกลงไปในนรกเถ้ารึงนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกเถ้ารึงนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

    อาจจะเคยไปมาแล้ว แต่ลืม ถ้าตราบใดที่ทุจริตกรรม อกุศลกรรมที่จะทำให้เกิดในอบายภูมิ ในนรกมี เมื่อจุติจากมนุษย์ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก ไม่นานเลย ผู้นั้นก็จะต้องได้รับความทุกข์ทรมานมาก เป็นระยะเวลาที่นานกว่าการเป็นมนุษย์ในโลกนี้มากทีเดียว

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย และนรกเถ้ารึงนั้น มีป่างิ้วใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน ต้นสูงชะลูดขึ้นไปโยชน์หนึ่ง มีหนามยาวสิบหกองคุลี มีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วง เหล่านายนิรยบาลจะบังคับให้สัตว์นั้นขึ้นๆ ลงๆ ที่ต้นงิ้วนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ที่ต้นงิ้วนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

    เลือกได้ไหมว่าจะอยู่ที่ไหน จะอยู่ที่ต้นงิ้ว หรือว่าจะอยู่ที่นรกเต็มไปด้วยเถ้ารึง หรือว่าจะอยู่ที่นรกคูถ ไม่ต้องการสักอย่างหนึ่ง โดยผลไม่ต้องการ แต่เหตุขอให้ระลึกถึงเหตุ ยังมีเหตุที่จะให้ไปสู่นรกต่างๆ เหล่านี้ ก็ต้องไป

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย และป่างิ้วนั้นมีป่าต้นไม้ ใบเป็นดาบใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะเข้าไปในป่านั้น จะถูกใบไม้ที่ลมพัด ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือ และเท้าบ้าง แล้วตัดใบหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งใบหู และจมูกบ้าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ที่ป่าต้นไม้ มีใบเป็นดาบนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

    มีใครเคยถูกมีดบาด ดาบฟันอะไรบ้างไหมในโลกนี้ มีได้ เล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับนรก แล้วทำไมจะคิดว่านรกไม่มี ในเมื่อโลกนี้ยังมีได้ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ท่านอาจจะอยู่ในนรกนี้ก็ได้ แต่ถ้าเป็นเศษของกรรม แม้ว่าท่านเป็นมนุษย์ ท่านก็ยังได้รับผลของอกุศล โดยถูกมีดบาดบ้าง ได้รับภัยจากอาวุธที่มีคม ต่างๆ ก็ได้

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย และป่าต้นไม้มีใบเป็นดาบนั้น มีแม่น้ำใหญ่ น้ำเป็นด่าง ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงไปในแม่น้ำนั้น จะลอยอยู่ในแม่น้ำนั้น ตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง ทั้งตาม และทวนกระแสบ้าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในแม่น้ำนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

    แม่น้ำใหญ่น้ำเป็นด่าง ในโลกมนุษย์มีไหม น้ำด่าง น้ำกรด มี แค่นิดหน่อยก็ทุกข์เหลือเกิน ถ้าโลกมนุษย์มีได้ นรกก็ต้องมีมากกว่านั้น

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลพากันเอาเบ็ดเกี่ยวสัตว์นั้นขึ้นวางบนบก แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกร พ่อมหาจำเริญ เจ้าต้องการอะไร สัตว์เหล่านั้นบอกอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าหิวเจ้าข้า เหล่านายนิรยบาลจึงเอาขอเหล็กร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วง เปิดปากออก แล้วใส่ก้อนโลหะร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วงเข้าในปาก ก้อนโลหะนั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง ปากบ้าง คอบ้าง ท้องบ้างของสัตว์นั้น พาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ ณ ที่นั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

    ในโลกนี้ เคยรับประทานอะไรร้อนๆ บ้างไหม บางครั้งบางคราวก็ร้อนจนกระทั่งไหม้ปาก ปากพองได้ นี่ในโลกมนุษย์ ถ้าเป็นโลกอื่นก็ต้องได้รับผลของกรรมอย่างนี้ได้

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลกล่าวกะสัตว์นั้นอย่างนี้ว่า ดูกร พ่อมหาจำเริญ เจ้าต้องการอะไร สัตว์นั้นบอกอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ากระหายเจ้าข้า เหล่านายนิรยบาลจึงเอาขอเหล็กร้อน มีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วง เปิดปากออก แล้วเอาน้ำทองแดงร้อน มีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วง กรอกเข้าไปในปาก น้ำทองแดงนั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง ปากบ้าง คอบ้าง ท้องบ้างของสัตว์นั้น พาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ ณ ที่นั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรกอีก

    ถ้ากรรมยังไม่สิ้นสุด ก็จะต้องวนเวียนไปในนรก แต่ใครจะเกิดในที่ร้อนที่เย็นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องความวิจิตรของจิต และเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นไปในทุกวินาที ทุกๆ ขณะก็มีความวิจิตรมาก ถ้าไม่เห็นก็ไม่เชื่อ และคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นปรากฏ ให้ทราบว่าเป็นเพราะมีเหตุปัจจัย ไม่ใช่ว่าจะเกิดโดยไม่มีเหตุปัจจัย ถ้ามีเหตุปัจจัยสมควรที่จะเกิด ก็ต้องเกิดอย่างน่าอัศจรรย์

    อย่างในโลกนี้ มีทั้งเต็มไปด้วยความสุข เต็มไปด้วยความทุกข์ หลายแห่งภูเขาไฟก็มี ร้อนอย่างนั้นใครตกลงไปเป็นอย่างไร ออกมาไม่ได้ มีควัน มีอะไรก็ได้แม้แต่ในโลกมนุษย์ซึ่งเป็นเศษของกรรม แต่การทนทุกข์ทรมานในนรกมาก และก็นาน

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พระยายมได้มีความดำริอย่างนี้ว่า พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย เป็นอันว่าเหล่าสัตว์ที่ทำกรรมลามกไว้ในโลก ย่อมถูกนายนิรยบาลลงกรรมกรณ์ต่างชนิดเห็นปานนี้ โอหนอ ขอเราพึงได้ความเป็นมนุษย์ ขอพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพึงเสด็จอุบัติในโลก ขอเราพึงได้นั่งใกล้พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นพึงทรงแสดงธรรมแก่เรา และขอเราพึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด

    จะได้พ้นเสียทีจากนรก ไม่อย่างนั้นก็ไม่พ้น ถ้าไม่ได้พบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ฟังธรรม และไม่ได้รู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังควรที่จะได้ทราบถึงเหตุ และผลทั้งในโลกนี้ และในโลกอื่น เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้มากว่า เมื่อจุติจากความเป็นมนุษย์หรือเป็นเทพแล้ว ย่อมไปสู่กำเนิดของสัตว์นรก ปิตติวิสัย เดรัจฉานมากกว่าการที่จะกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ หรือว่าความเป็นเทพอีก

    โดยเหตุ โดยผล ควรจะเป็นอย่างนั้นไหม สัตว์ในน้ำ สัตว์บนบก ที่บ้านมีสัตว์มาก หรือว่ามีคนมาก เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงแต่จะดูเผินๆ

    อย่างมนุษย์เป็นสุคติภูมิ ตั้งแต่เกิดมาทำอะไรกันบ้าง อกุศลจิต อกุศลกรรมมากหรือน้อย หรือว่ากุศลจิต กุศลกรรมมากกว่า เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ความเป็นมนุษย์หรือเป็นเทพก็ตาม เมื่อจุติจากมนุษย์ และเทพแล้ว ไปสู่กำเนิดของสัตว์นรก ปิตติวิสัย เดรัจฉานมากกว่าที่จะกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์หรือเป็นเทพ แต่ถ้าเป็นผู้ที่จะบรรลุคุณธรรมเป็นพระสาวก ท่านก็สะสมบุญกุศล เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ จากสุคติภูมิไปสู่สุคติภูมิ นับไม่ถ้วน จนถึงการบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้า

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 245


    นาที 12:44

    ใน ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส ขัคควิสาณสุตตนิทเทส ข้อ 670

    ข้อความต่อไปมีว่า

    คำว่า ทุกข์นี้ย่อมปรากฏ ความว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ ประพฤติทุจริตด้วยกาย ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ประพฤติทุจริตด้วยใจ

    ฆ่าสัตว์บ้าง ถือเอาทรัพย์ที่เขามิได้ให้บ้าง ตัดที่ต่อบ้าง ปล้นทลายเรือนบ้าง ทำการปล้นเฉพาะเรือนหลังเดียวบ้าง ดักตีชิงในทางเปลี่ยวบ้าง คบชู้ภรรยาผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง


    ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมของตน พวกนายนิรยบาลย่อมให้ทำกรรมกรณ์ ซึ่งมีเครื่องจำ ๕ ประการ แก่สัตว์นั้น คือ ให้ตรึงหลาวเหล็กแดงที่มือ ๒ ข้าง ที่เท้า ๒ ข้าง ที่ท่ามกลางอก สัตว์นั้นเสวยทุกขเวทนาอันกล้า แสบ เผ็ดร้อนในนรกนั้น แต่ยังไม่ทำกาลกิริยาตลอดเวลาที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ทุกขโทมนัสอันน่ากลัวนี้เกิดเพราะอะไร

    เกิดเพราะเหตุแห่งความรัก เพราะเหตุแห่งความยินดี เพราะเหตุแห่งความกำหนัด และเพราะเหตุแห่งความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดีของผู้นั้น

    ทุกข์เหล่านั้นย่อมมี ย่อมเป็น ย่อมเกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ย่อมปรากฏ เพราะเหตุแห่งความรัก เพราะเหตุแห่งความยินดี เพราะเหตุแห่งความกำหนัด เพราะเหตุแห่งความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดีของสัตว์นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทุกข์นี้เป็นไปตามความรักย่อมปรากฏ


    ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นปัจจัยให้ทำทุจริตกรรมอะไรบ้าง และผลย่อมเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ท่านพระเทวทัตทำกรรมถึงอย่างนั้น อยู่ที่ไหน ไม่มีที่อยู่ได้ไหม ยังต้องวนเวียนไปในวัฏฏะ และกรรมที่ทำอย่างนั้นหรือจะทำให้เกิดในสุคติภูมิ ในสวรรค์ การทำสังฆเภท การทำพระโลหิตของพระผู้มีพระภาคให้ห้อ เป็นกรรมหนัก เป็นอนันตริยกรรม เวลานี้ท่านพระเทวทัตอยู่ในอเวจี มหานรกตามควรแก่กรรมนั้น

    หลังจากที่ท่านผู้ฟังสิ้นชีวิตแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะไปสู่ที่ใด แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ท่านก็เจริญกุศล เจริญสติปัฏฐานเพื่อปัญญาจะได้รู้ชัดในสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น เรื่องภพ เรื่องภูมิต่างๆ ไม่ใช่ทรงแสดงไว้โดยเปล่าประโยชน์ แต่เพื่อเกื้อกูลแม้ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานก็จะได้ไม่ประมาท ท่านผู้ฟังอาจจะมีญาติมิตรสหาย ในหลายกัปหลายกัลป์นานมาแล้ว ที่จะต้องอยู่ในภูมินั้นบ้าง ภูมินี้บ้าง แต่ขอให้ทราบเรื่องของอบายภูมิเป็นลำดับขั้น และอบายภูมิที่หนักที่สุด คือ นรก

    ในพระไตรปิฎกมีข้อความหลายตอนที่กล่าวว่า เมื่อพ้นจากการรับกรรมในนรกแล้ว ก็เกิดเป็นเปรต ที่ว่าเป็นเปรตยังน้อยกว่านรก เพราะเหตุว่ายังสามารถที่จะรับอุทิศส่วนกุศล เกิดกุศลจิตอนุโมทนาได้

    มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ธนัญชานิสูตร มีข้อความที่ท่านพระสารีบุตรกล่าวกับธนัญชานิพราหมณ์ว่า เดรัจฉานดีกว่านรก เปตวิสัยดีกว่าเดรัจฉาน มนุษย์ดีกว่าเปตวิสัย เทพดีกว่ามนุษย์ ตามลำดับ

    เดรัจฉานไม่ได้รับทุกข์ทรมานอย่างนรก เพราะว่าสัตว์บางตัวมีกุศลวิบากเป็นผลของกุศลกรรม ทำให้มีการกินดีอยู่ดี เป็นผลของกุศลกรรมที่ติดตามมาให้ผลหลังจากที่ปฏิสนธิด้วยอกุศลวิบากซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม แต่กรรมอื่นซึ่งเป็นกุศลยังตามอุปถัมภ์ได้ในภูมิของเดรัจฉาน

    สำหรับเปตวิสัยที่ว่าดีกว่าเดรัจฉาน เพราะว่าสามารถที่จะเกิดกุศลจิต อนุโมทนา และพ้นจากการรับผลของอกุศลกรรมนั้นได้

    สำหรับมนุษย์ แน่นอนว่าต้องดีกว่าเปตวิสัย และสำหรับเทพนั้น ก็เป็นผลของกุศลที่มีกำลังมากกว่าที่เกิดเป็นมนุษย์

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 241

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 242


    หมายเลข 549
    3 ส.ค. 2567