จิตที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่มีเรื่องราว สัตว์ บุคคล
ผู้ฟัง ถามคุณรุ่งอรุณว่า จิตของคนอื่นจะไปเกิดในตัวคุณรุ่งอรุณ ได้ หรือไม่
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ผู้ฟัง วันข้างหน้า คุณรุ่งอรุณ มีครอบครัว มีบุตร จะมีจิตคนอื่นเข้าไปเกิด ได้ หรือไม่ แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน
ผู้ฟัง เป็นแหล่งที่จะให้จิตอีกจิตหนึ่งมาจุติได้ แต่จิตมีลักษณะที่แยกจากกันโดยเด็ดขาด ใช่ หรือไม่
ท่านอาจารย์ เมื่อกล่าวถึงบัญญัติ มีคน แล้วก็มีครรภ์ แต่ว่าสภาพของจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ รู้อารมณ์ทีละหนึ่งอย่าง ทีละ ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมว่าในขณะที่เห็นต้องไม่มีอะไรเลย แต่ว่าขณะนี้เห็นแล้วก็ยังมีหลายๆ อย่าง เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับสืบต่อเร็วมาก เห็นแล้วก็ยังคงเป็นคุณจำนง คงเป็นสุกิจ เป็นคุณแก้วตา ก็เพราะเหตุว่า จิตเกิดดับสลับเร็วมาก ไม่ใช่ให้ไปยับยั้ง ไม่ใช่ให้ไปเปลี่ยน หรือไม่ใช่ให้ไปพยายามจงใจไม่ให้ปรากฏ แต่ความเข้าใจคือปัญญาที่จะรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างหนึ่งจริงๆ เป็นเพียงรูปธรรม แล้วอาศัยความทรงจำก็เป็นเรื่องราวที่มีคนมีสัตว์ในโลกของเรา ในความคิดของเราไม่เสื่อมคลายเลย แต่ทั้งหมดก็คือว่าต้องแยกลักษณะของรูปธรรมที่มีจริงๆ กับความทรงจำในเรื่องราวของคนนั้น เพราะฉะนั้น ที่มีคนกับมีครรภ์เป็นเรื่องราว แต่ถ้าเป็น ๑ ขณะจิต ก็แสดงให้เห็นว่าขณะนั้นต้องไม่มีอะไรเลย ขณะที่จิตเห็นยังไม่ต้องนึกถึงแขน ขา ฟัน สมอง หรืออะไรเลยทั้งสิ้น มีสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้นจริงๆ เราถึงจะเข้าถึงอรรถของคำว่า “อนัตตา” ได้ ไม่ใช่อัตตาเลย แต่เพราะความไม่รู้ สักกายทิฏฐิ การรวมกันของสภาพธรรมที่เกิดดับอย่างเร็วก็ทำให้มีความสำคัญว่ากายที่ประชุมรวมกันเป็นของเรา เป็นสักกายทิฏฐิ มีความเห็นว่าในสิ่งที่ประชุมรวมกันว่าเป็นเรา เป็นคุณรุ่งอรุณ เป็นครรภ์ของคุณรุ่งอรุณ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีครรภ์เลย ก็คิดไปจนกระทั่งถึงว่าคุณรุ่งอรุณมีครรภ์ และก็มีจิตที่อยู่ในครรภ์ของคุณรุ่งอรุณ นี่ก็เป็นเรื่องราวทั้งหมด แต่ที่จะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตนจริงๆ จากผู้ที่ทรงบำเพ็ญบารมี ทรงตรัสรู้ ต้องเป็นความจริงที่เปลี่ยนไม่ได้เลย และมีผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับขั้นถึงความเป็นพระอรหันต์ แม้แต่พระโสดาบันก็ต้องเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้าไม่เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงจะเป็นปัญญาที่ดับกิเลสไม่ได้ อย่างไรก็ดับกิเลสไม่ได้เลย เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมปรากฏ แล้วไม่รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น ในขณะที่ฟังก็ต้องไม่ลืมถึงความเป็นอนัตตา แม้ว่าขณะนี้สภาพธรรมไม่ได้ปรากฏเพียงทีละอย่าง เกิดดับสืบต่อเร็วมาก แต่ต้องเข้าใจถูกต้องว่าตามความเป็นจริงก็คือต้องเป็นอย่างนี้ จึงจะเข้าถึงความเป็นอนัตตาได้ เพราะฉะนั้นถ้าโดยปรมัตถธรรมก็คือขณะใดที่จิตใดเกิดขึ้น ก็ต้องมีรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตนั้นในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ไม่ต้องเรียกว่าครรภ์ ไม่ต้องเรียกว่าอะไรเลย แต่ขณะนั้นก็มีรูปซึ่งเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานพร้อมปฏิสนธิจิต และเป็นที่เกิดของจิต ซึ่งเรื่องของจิตก็เป็นเรื่องที่ละเอียด แล้วก็เป็นอย่างนี้มานานแสนนาน แต่ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม และค่อยๆ เข้าใจขึ้นตั้งแต่ขั้นของการฟัง
ที่มา ...