จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต กับ จิตที่เป็นวิถีจิต
แต่ก็มีจิต ๓ ขณะซึ่งไม่ได้อาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลย คือปฏิสนธิจิต ๑ ขณะ ภวังคจิต ๑ ขณะ จุติจิต ๑ ขณะ ทั้ง ๓ ขณะนี้ไม่ใช่วิถีจิต นอกจากนั้นเป็นวิถีจิตทั้งหมด เพราะต้องอาศัยทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง "การเห็น" เป็นวิถีจิตต้องอาศัยตา "การได้ยิน" เป็นวิถีจิตต้องอาศัยหู
เพราะฉะนั้นวิถีจิตแรกต้องเป็นอาวัชชนจิต ถ้าเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ต้องเป็น "ปัญจทวาราวัชชนจิต" เรียกชื่อรวม แต่ถ้าเป็นทางใจก็เป็นกิริยาจิตอีกหนึ่งประเภทคือ "มโนทวาราวัชชนจิต" ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์จึงมีกิริยาจิต ๒ ประเภท คือมี ปัญจทวาราวัชชนจิตซึ่งเกิดก่อนจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และมโนทวาราวัชชนจิต หลังจากที่ภวังคจิตดับแล้ว และจะรู้อารมณ์อื่นซึ่งไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ ถ้าเป็นทางใจ เช่น คิดนึก หรือ ฝัน ก็จะต้องมีจิตขณะแรกที่เกิดชื่อว่า “มโนทวาราวัชชนจิต” เกิดก่อน หลังจากนั้นก็เป็นกุศล หรืออกุศลที่ฝัน แต่กุศล และอกุศล ท่านคงจะไม่ทราบว่า สั้นมาก เพียงชั่ว ๗ ขณะจิต ก็เป็นภวังค์อีกแล้ว แล้ววิถีจิตก็เกิดขึ้น โดยจะต้องเป็นวิถีจิตแรก คือ ไม่ว่าจะเป็นทางปัญจทวาร หรือมโนทวาร ก็จะต้องเป็นกิริยาจิตซึ่งเกิดต่อจากวิถีจิต
เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังฝันเรื่องยาวให้ทราบว่ามีจิตที่คิดนึกเรื่องที่ฝัน และกุศลจิต และอกุศลจิตก็เป็นไปในสิ่งนั้น ๗ ขณะ แล้วก็เป็นภวังค์ และก็นึกอีกเป็นเรื่องต่อไปเหมือนขณะนี้เลย แล้วก็เป็นภวังค์อีก ๗ ขณะๆ เแต่ปรากฏเหมือนเรื่องยาว หรือไม่ปรากฏลักษณะของภวังคจิตเลย เหมือนขณะนี้เหมือนนั่งอยู่ แล้วก็เห็นตลอดเวลา
แต่ให้ทราบว่า เมื่อเห็นแล้วต้องเป็นกุศล หรืออกุศล กล่าวย่อๆ ไม่กล่าวถึงว่าจะต้องมีจิตชาติอื่นด้วย หลังจากที่เห็นแล้วก็เป็นกุศล หรืออกุศลสั้นมากในขณะนี้ ๗ ขณะแล้วก็เป็นภวังค์ และก็เห็นอีก ซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งความรวดเร็วไม่รู้เลยว่ามีภวังคจิตคั่น นี่คือประโยชน์ของการที่จะศึกษาให้เข้าถึงความเป็นอนัตตา ให้รู้จริงๆ ว่าเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป ซึ่งเกิดขึ้นทำกิจการงาน แล้วแต่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือว่าไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ที่มา ...