ขณะที่เป็นวิบากกับขณะที่ไม่ใช่วิบากต่างกัน


    แล้วที่คุณวีระกล่าวเมื่อกี้นี้ว่าเห็นก็เหมือนไม่เห็น ทั้งๆ ที่คนนี้ก็นั่งอยู่ แต่ก็เหมือนไม่เห็นคนนั้นเลย จริงใช่ไหม ถ้าจริงต่อไปก็จะรู้ว่า การที่จิตเห็นจะเกิดขึ้นจะมีหลายวาระ บางวาระก็ยาว บางวาระก็สั้น ถ้าสั้นก็จะเพียงเห็น เหมือนเห็น แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรก็ได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาต่อไปถึงสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน หลังจากที่มโนทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว จิตต่อไปก็ต้องเป็นวิถีจิต เพราะว่าเพียงแค่รำพึงถึงอารมณ์เท่านั้นพอไหม พอมากระทบตารำพึงถึงหรือนึกถึงเท่านั้น ยังไม่เห็นด้วยซ้ำไปก็ไม่พอ ก็จะต้องมีผลของกรรมที่จะเกิด สำหรับมโนทวาราวัชชนจิต ปัญจทวาราวัชชนจิตไม่ใช่วิบากจิต นี่เป็นสิ่งที่เราจะเห็นว่าขณะที่เป็นวิบากกับขณะที่ไม่ใช่วิบากต้องต่างกัน เพราะเหตุว่าถ้าเป็นวิบาก กรรมมีสองอย่าง คือกุศลกรรม และอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น วิบากต้องเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบากเพราะว่าวิบากเป็นผลของกรรม แต่สำหรับปัญจทวาราวัชชนจิต สามารถที่จะรู้หรือนึกถึงอารมณ์ที่กระทบทวาร ยังไม่เห็นยังไม่ใช่วิบาก แต่เป็นกิริยาจิต

    นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องทราบว่าจิตทั้งหมดมี ๔ ชาติ จิตแต่ละขณะที่เราได้ยินชื่อจะต้องรู้ว่าจิตนั้นเป็นชาติอะไร มโนทวาราวัชชนจิตก็เป็นกิริยาจิต ปัญจทวาราวัชชนจิตก็เป็นกิริยาจิต เพราะไม่ใช่วิบากของกรรมหนึ่งกรรมใด ถ้าเป็นวิบากต้องเป็นกุศลวิบากเป็นผลของกุศลหรืออกุศลวิบากซึ่งเป็นผลของอกุศลเท่านั้นจะไม่มีอื่น ต้องมีคำว่าวิบากถ้าเป็นวิบาก แต่ถ้าไม่ใช่วิบากก็ไม่ใช่วิบาก อย่างกุศลจิตไม่ใช่วิบาก อกุศลจิตไม่ใช่วิบาก ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นกิริยาจิต มโนทวาราวัชชนจิตเป็นกิริยาจิต

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์มีกิริยาจิต ๒ ขณะ ผู้ที่นี่รวมสัตว์เดรัจฉาน ในนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย คือก่อนจิตเห็นจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ตามกับบุคคลใดก็ตาม จักขุทวาราวัชชนะ หรือปัญจทวาราวัชชนจิตนั่นเองต้องเกิดก่อน อันนี้คงไม่มีปัญหา คงไม่ลืมด้วย จำได้เพราะเหตุว่าเข้าใจ ความต่างกันของจักขุทวาร และจักขุทวาราวัชชนจิต

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 29


    หมายเลข 5905
    24 ม.ค. 2567