ฟังธรรมให้เข้าใจว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา เป็นธรรมทั้งหมด


    ถ้าไม่มีจิตขณะแรกที่เกิดก็จะไม่มีใครมานั่งอยู่ตรงนี้เลย

    เพราะฉะนั้น จิตเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสายเลย ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ขณะจิตที่เกิดก็ผ่านไปแล้ว และก็ชาติหนึ่งก็มีเพียงขณะเดียวเท่านั้น จะไม่มีถึงสองสามขณะเลย จนกว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อใด จุติจิตเกิดแล้วดับ ทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อ แต่จะเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ ถ้าชาติหน้าเกิดมาจะไม่รู้เลยว่าเคยนั่งอยู่ที่นี่ เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมตรงนี้ ไม่มีการที่จะคิดได้ ถ้าจากโลกนี้ไปวันนี้ หรือพรุ่งนี้ แล้วก็ไปเกิดที่ไหน เป็นอะไร ก็ไม่สามารถที่จะย้อนระลึกถึงขณะที่กำลังเคยได้ยินได้ฟังธรรม

    เพราะฉะนั้น ก็ขอตั้งต้นตั้งแต่ตอนหลับ วันนี้ทุกคนก็หลับมาแล้ว จิตที่หลับ จิตทุกประเภทต้องมีกิจการงาน มีหน้าที่ จิตที่เกิดขึ้นโดยไม่ทำหน้าที่อะไรเลยไม่ได้ จิตทำหน้าที่ต่างๆ แม้ว่าจิตจะหลากหลายอย่างไรก็ตาม แต่หน้าที่การงานของจิตจะมีเพียง ๑๔ กิจ (กิจจะ) คือ ๑๔ หน้าที่ จิตที่เกิดขึ้นทุกขณะต้องทำหน้าที่หนึ่งหน้าที่ใดใน ๑๔ กิจ และการทำหน้าที่เลือกทำตามใจชอบไม่ได้ วันนี้อยากจะทำหน้าที่นั้น พรุ่งนี้อยากจะทำหน้าที่โน้น เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง และก็เป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชา หรือเปลี่ยนแปลงได้เลย

    แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะตรัสรู้ความจริงของธรรม ไม่ใช่ไปเปลี่ยนธรรม ใครก็เปลี่ยนแปลงธรรมไม่ได้เลย แต่สามารถจะค่อยๆ เข้าใจธรรมที่เกิด กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้น ก็ให้ทราบว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา ที่เคยเป็นเราทั้งหมด แต่เมื่อศึกษาธรรมก็มีความเข้าใจที่จะสะสมสืบต่อไปให้มีความเข้าใจถูกต้องจริงๆ ว่าขณะนี้เป็นธรรม เมื่อฟังธรรม ก็ให้เข้าใจให้ถูกว่าขณะนี้เป็นธรรม ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น กำลังเกิดในขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 34


    หมายเลข 6129
    17 ม.ค. 2567