ไม่ฟังพระธรรม ไม่รู้ความเป็นไปของจิต
อ.ประเชิญ เรื่องนี้เป็นความจริงที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสรู้ และได้ทรงแสดงความจริงไว้ ถ้าเราไม่ได้ฟังความจริงจากพระผู้มีพระภาค ความเป็นไปของจิต ซึ่งเป็นนามธรรมเป็นไปในลักษณะนี้ คือความเป็นไปของนามธรรมที่เป็นจิตพร้อมทั้งเจตสิกในทวารตา เมื่อรูปารมณ์ หรือรูปสีที่มาปรากฏกับจักขุทวาร จิตเดิมเป็นภวังค์ ทุกครั้งที่จะมีวิถีจิตเกิดขึ้นก็จะเป็นวิถีวิมุตติ และมีชื่อหลากหลายตั้งแต่อตีตภวังค์ ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ เป็นลักษณะนี้ที่จะให้รู้ถึงความเป็นไปของจิต ที่จะเป็นลักษณะนั้นเมื่อรูปมากระทบ ในทวารตาที่เป็นไปทั้งตลอดวิถี ตลอดวาระ จะหาความเป็นอัตตา หรือสัตว์ บุคคล ในภายในขณะจิตที่เป็นไปก็ไม่มี
ทางหูก็เหมือนกัน จะต่างกันที่อารมณ์คือเสียง หรือสัททารมณ์มากระทบทางโสตทวาร จิตที่เกิดขึ้นก็จะมีลักษณะเดียวกับทางตา แต่ว่าจะมีชื่อที่เปลี่ยนไปบ้างตามทวาร และอารมณ์ เมื่อเสียงมากระทบภวังค์ก็จะเป็นชื่อตั้งแต่อตีตภวังค์ เป็นการแสดงอายุของรูปว่ากระทบตรงนั้น ภวังคจลนะเริ่มที่จะไหว ภวังคุปัจเฉทะก็มีการเปลี่ยนที่จะเป็นวิถีจิต ต่อมาก็จะเป็นอาวัชชนะจิต เป็นจิตประเภทแรกของวิถีจิตซึ่งตามศัพท์ก็รำพึง หรือนึกถึง ซึ่งก็อธิบายได้ว่าจิตที่รู้อารมณ์เป็นขณะแรกในวิถีทางโสตทวารก็คือ โสตทวาราวัชชนะ เป็นจิตที่เกิดขึ้นรำพึง หรือนึกถึงอารมณ์นั้น จริงๆ ก็คือรู้นั่นเอง รู้เสียงที่มากระทบตรงนั้น คือรู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งตามทวาร ขณะที่เป็นโสตทวาร ก็มีชื่อว่าโสตทวาราวัชชนะ ซึ่งต่อมาจิตที่เกิดรับอารมณ์ต่อจากอาวัชชนะทางหูก็จะเปลี่ยนชื่ออีกเป็นวิญญาณที่รู้ทางหู คือ โสตวิญญาณ (วิญญาณ – รู้, โสต – หู) จิตที่รู้ทางหู คือรู้เสียงนั่นเอง
ต่อมาก็จะเป็นจิตที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สัมปฏิจฉันนะ รับอารมณ์ต่อจากทางโสตวิญญาณ ชื่อเหมือนกับทางจักขุทวาร สันตีรณะ ก็เหมือนกันชื่อไม่เปลี่ยน พิจารณา โวฏฐัพพนะเป็นการกระทำทางให้ชวนจิตเกิดขึ้น ซึ่งทั่วไปก็จะแปลว่าตัดสิน ชื่อเหมือนเดิม จิตก็จิตประเภทเดียวกัน ถ้าเป็นลักษณะที่เป็นอารมณ์ดีก็จะเป็นชื่อเดียวกัน จิตประเภทเดียวกัน หลังจากโวฏฐัพพนะดับไปแล้ว ก็จะมีชวนจิตเกิดขึ้นแล่นไปในอารมณ์ถึง ๗ ครั้ง ๗ ขณะ เป็นกุศล หรืออกุศล หรือกิริยาจิตของพระอรหันต์ นี่คือภาวะปกติของผู้ที่เป็นกามบุคคลอย่างเช่นพวกเราที่เป็นกามภูมิก็เป็นลักษณะนี้ หลังจากนี้เมื่อชวนจิตแล่นไปจนครบ ๗ ครั้งแล้ว ก็จะมีตทาลัมพนะจิตเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ที่ยังเหลืออีก ๒ ขณะจิต หลังจากนั้นก็กลับเป็นภวังค์อีก นี่ก็คือความเป็นไปของจิตที่เรียกว่า “วิสยัปปวัตติ” (วิสย แปลว่า อารมณ์, ปวัตติ แปลว่า ความเป็นไป) จิตเป็นไปในทวารต่างๆ นี้ก็เป็นเรื่องของโสตทวาร ซึ่งก็จะหาความเป็นอัตตา ความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลที่เป็นไปในทวารหูก็ไม่มีเหมือนกัน เป็นเพียงจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์เท่านั้น และก็มีอารมณ์ที่ถูกรู้ ซึ่งก็เป็นความจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเพื่อจะให้เราได้เข้าใจความจริงที่จะถ่ายถอนความยึดถือเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ความเป็นกลุ่มเป็นก้อนของธรรมที่เกิดขึ้น แยกขยายออกมาแล้วหาความเป็นคน หรืออัตตาที่อยู่ภายในไม่มีเลย
ที่มา ...