เข้าใจในความเป็นธรรม จะเห็นความเป็นอนัตตา
ถ้าเข้าใจจริงๆ ในความเป็นธรรมของทุกๆ ขณะก็จะค่อยๆ คลาย แม้ในขั้นการฟังซึ่งไม่เคยฟังมาก่อน ก็จะรู้ว่าเมื่อฟังละเอียดขึ้นก็จะเห็นความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นตอนเกิดก็อนัตตา มีชีวิตแต่ละขณะก็อนัตตา กำลังหลับก็อนัตตา ตื่นมาแล้วก็อนัตตา ทั้งนั้นเลย บังคับไม่ได้ว่าตื่นแล้วจะเห็นอะไร และเมื่อเห็นแล้วจะเป็นกุศล หรืออกุศลอย่างไรก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้แล้ววันหนึ่งๆ อกุศลยิ่งมากด้วยความไม่รู้ ก็ยิ่งเพิ่มความขวนขวาย ความเป็นไปด้วยโลภะ ด้วยโทสะมากมาย ซึ่งจริงๆ แล้วขณะที่หลับสนิทก็ไม่ได้มีอกุศลใดๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ต้องตื่นเพื่อที่จะเป็นกุศล หรืออกุศล ลองคิดเปรียบเทียบ วันนี้ที่ตื่นมาแล้วก็เพื่อเป็นกุศล หรืออกุศล จะเห็นได้ว่าอกุศลมากมาย ให้เข้าใจจนกระทั่งเห็นพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดด้วยประการทั้งปวง โดยนัยของพระวินัย ของพระสูตร และของพระอภิธรรมทั้งหมด เพื่อที่จะเกื้อกูลให้ผู้ที่ไม่รู้ค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
เพราะฉะนั้น จึงมีการกล่าวถึงความต่างของขณะที่หลับกับขณะที่ตื่นว่าต้องเป็นจิตต่างประเภท ซึ่งจะมีวิถีจิตเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่จะแสดงให้เห็นว่าเวลาหลับ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่เมื่อฝันขณะใดก็มีความต่างกันอีก ในทุกๆ ขณะจิตจะเป็นสภาพธรรมที่ต่างกันทั้งหมดโดยกิจการงาน และโดยชาติ
ที่มา ...