ขณะที่กำลังเห็นเป็นจิตอะไร
มีผู้ที่ถามว่าจะระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยอย่างไร โดยเฉพาะคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่รู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทั้งหมดโดยประการทั้งปวง แล้วทรงแสดงความละเอียดของสภาพธรรม เพื่อที่จะให้บุคคลผู้อื่นที่ได้ฟังสามารถที่จะเข้าใจ และอบรมเจริญปัญญาด้วย ก็จะระลึกไม่ถูก แต่ขณะนี้ที่กำลังฟัง ระลึกถึงคุณของใคร หรือไม่ กำลังฟังพระธรรม เมื่อฟังก็รู้ว่าไม่มีใครอื่นที่สามารถที่จะแสดงธรรมที่กำลังปรากฏโดยละเอียดอย่างนี้ได้ เท่านี้ก็คือการระลึกถึงพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก็รวมถึงการระลึกถึงพระคุณของพระธรรมซึ่งได้ทรงแสดงธรรมที่ทำให้หมดสิ้นความเป็นปุถุชน ถึงความเป็นพระอริยบุคคล และก็ระลึกถึงคุณผู้ที่ได้ฟังพระธรรมหลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้ ก็คือระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยนั่นเอง เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังแล้วเข้าใจก็คงจะไม่มีใครไปคิดถึงพระคุณอื่น ในขณะที่ได้ฟัง และเข้าใจก็ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย
ไม่ทราบว่าท่านใดจะสนทนาเรื่องของกามาวจรจิต หรือไม่ ขณะนี้ที่กำลังเห็นเป็นจิตอะไร ขณะนี้ที่กำลังเห็นเป็นจิตแน่นอน ซึ่งเป็นวิบากจิต คือเป็นผลของกรรม แล้วก็เป็นเป็นกามาวจรจิตด้วย เพราะเหตุว่าเป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คำว่า “กาม” ตามความหมายของสภาพธรรมจะได้แก่ รูป สิ่งที่น่าพอใจเป็นกาม เสียงเป็นกาม เสียงน่าพอใจ หรือไม่ กลิ่นเป็นกาม น่าพอใจ หรือไม่ รสเป็นกาม สิ่งที่กระทบกาย เป็นกาม เพราะฉะนั้นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่สามารถจะกระทบกายได้คือ เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง ตึง หรือไหว เป็นกามอารมณ์ ขณะใดที่จิตรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดใน ๕ อารมณ์นี้ จิตกำลังมีกามอารมณ์ และชีวิตในวันหนึ่งๆ ของเราก็จะไม่พ้นไปจากกามอารมณ์เลย เวลาที่คิดถึง คิดถึงอะไรถ้าไม่ใช่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็ต้องคิดถึงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็ไม่พ้นจากกาม หรือแม้บัญญัติคือคำที่เราใช้เรียก ก็ใช้เรียกสิ่งที่เป็นกามนั่นเอง เช่น รสอาหาร ดอกกุหลาบ หรืออะไรก็ตาม ก็เป็นสิ่งที่เป็นกามที่น่าพอใจนั่นเอง
"กาม" มีสองความหมายคือ "กิเลสกาม" ได้แก่ เจตสิกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นความติดข้อง คือโลภเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่ติดข้อง เป็นกิเลสกาม ส่วนสิ่งที่โลภะติดข้องทั้งหมดเป็น "วัตถุกาม" เป็นสิ่งที่ขณะนั้นมีความยินดีพอใจในสิ่งนั้น
ที่มา ...