จิตของผู้ที่เกิดในภูมิที่ต่างกัน ต่างกันหรือไม่อย่างไร


    อ.อรรณพ ถ้าพูดถึงจิตต่างๆ กับภูมิที่เกิดที่ว่าต่างกัน จิตจะเหมือนกัน หรือต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ จิตเห็นจะมีเสียงเป็นอารมณ์ได้ หรือไม่ ไม่ได้ ต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ ใครสามารถจะรู้ได้ว่าจิตเห็นในขณะนี้มีผัสสเจตสิก มีเวทนาเจตสิก มีสัญญาเจตสิก มีเจตนาเจตสิก มีเอกัคคตาเจตสิก มีมนสิการเจตสิก ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แต่จากการที่ทรงแสดง จิตเห็นจะมีเจตสิกเกิดเกิน ๗ ดวงไม่ได้ ไม่ว่าเกิดที่ไหนเมื่อไร ถ้าเราไม่คิดถึงรูปร่างนก ไม่คิดถึงรูปร่างช้าง ไม่คิดถึงรูปร่างคน ไม่คิดถึงรูปร่างเทพ ไม่คิดถึงรูปร่างพรหม และไม่คิดถึงรูป จิตเห็นเกิดขึ้นเมื่อไร ต้องเห็น จิตเห็นจะทำบุญกุศลอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น มีหน้าที่เดียวคือเห็น และมีเจตสิกประกอบเท่ากันทั้งหมด ไม่ว่าจะเกิดกับใคร ที่ไหน เมื่อไร นี้คือแสดงให้เห็นว่าเราศึกษาสภาพธรรม จิตที่เป็นกามาวจรจิตมี ๕๔ ประเภท ๕๓ ได้ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ๕๖ ได้ หรือไม่ ไม่ได้ แต่เรามีครบ ๕๔ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ครบ

    ท่านอาจารย์ ก็แสดงให้เห็นว่าถ้ากล่าวโดยประเภทของจิต ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จิตที่เป็นกามาวจรจิต ๕๔ ก็คือ ๕๔ แต่บุคคลจะมีจิตทุกประเภทครบ หรือไม่ครบ เพราะว่า ๕๔ นี้รวมจิตของพระอรหันต์ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราแยกกามาวจรจิต ๕๔ ก็เป็นอกุศลจิต ๑๒ ใครมีเท่าไร พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ก็ต่างกันไปแล้วใช่ไหม สำหรับกามาวจรจิตที่เราคุ้นหู ก็คือ อกุศลจิต ๑๒ และอเหตุกจิต ๑๘ ถ้าเราพูดถึงอเหตุกจิต เราต้องกล่าวถึงจิตอีกนัยหนึ่ง คือโดยนัยที่ประกอบด้วยเหตุเจตสิก หรือไม่ประกอบด้วยเหตุเจตสิก มิฉะนั้นเราจะกล่าวถึงอเหตุกจิตชื่อต่างๆ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร เมื่อไร ใช่ หรือไม่

    เพราะฉะนั้นต่อจากนัยของภูมิ ก็จะได้กล่าวถึงนัยของเหตุ คือ จิตที่ประกอบด้วยเหตุก็มี จิตที่ไม่ประกอบด้วยเจตสิกที่เป็นเหตุก็มี จึงมีจิตประเภทที่เป็นอเหตุกจิต หมายความว่าจิต ๑๘ ดวงไม่ประกอบด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดใน ๖ เหตุเลย คือไม่ประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ หรือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ จึงเป็นอเหตุกจิต นี่คือความเข้าใจคร่าวๆ ว่า กามาวจรจิตที่มี ๕๔ ตามประเภท คือที่เป็นอกุศลมี ๑๒ เกินได้ หรือไม่ ไม่ได้ ใครจะมีมากมีน้อยก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่รวมประมวลแล้วอกุศลจิตทั้งหมดมี ๑๒ ประเภท อเหตุกจิตทั้งหมดมี ๑๘ ประเภท เหลืออีกเท่าไร ๒๔ ประเภท เป็นโสภณจิตซึ่งเป็นกุศล ๘ เป็นวิบาก ๘ เป็นกิริยา ๘ แต่เมื่อเป็นระดับของกามาวจร ก็เป็นกามาวจรกุศล ๘ กามาวจรวิบาก ๘ กามาวจรกิริยา ๘ หรืออีกชื่อหนึ่งตามความหลากหลาย เพราะเหตุว่าเป็นไปในทานก็ได้ เป็นศีลก็ได้ เป็นต้น ก็กล่าวว่า มหากุศล ๘ มหาวิบาก ๘ มหากิริยา ๘

    เพราะฉะนั้น เราก็เริ่มเข้าใจชื่อที่ต่างโดยความหมาย แต่ว่าสภาพธรรมก็คืออย่างนั้น จะกล่าวโดยนัยของภูมิก็เป็นกามาวจรกุศล กามาวจรวิบาก กามาวจรกิริยา ถ้าโดยนัยของความหลากหลาย มหากุศล ก็คือกามาวจรกุศล ไม่ใช่รูปาวจรกุศล ไม่ใช่อรูปาวจรกุศล ไม่ใช่โลกุตตรกุศล มหาวิบากก็คือกามาวจรวิบาก เกิดบนสวรรค์ก็ได้ อะไรก็ได้แล้วแต่ที่เป็นผลหลากหลายต่อมา และที่เป็นกามาวจรกิริยาก็คือจิตสำหรับพระอรหันต์ ก็ค่อยๆ เข้าใจไป กามาวจรจิตมี ๕๔ เรามีครบไหม ไม่ครบ ก็ยิ่งศึกษาง่ายขึ้นใช่ไหม ตามที่มี ว่าจริงๆ แล้วเรามีจิตที่เป็นกามาวจรจิตเท่าใด รูปาวจรจิตมีไหม ไม่มี อรูปาวจรจิตมีไหม ไม่มี และถ้าไม่ถึงโลกุตตรจิต โลกุตตรจิตก็ไม่มี เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ที่เกิดวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ ก็กามาวจรจิตที่เว้นกิริยาจิตของพระอรหันต์ ซึ่งต่อไปจะทราบว่า สำหรับกิริยาจิตของพระอรหันต์นั้นมีอะไรบ้าง

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 45

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 46


    หมายเลข 6358
    27 ม.ค. 2567