กรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นเหตุให้เกิดวิบาก ๒ ประเภท
ก็แสดงให้เห็นว่ากรรมที่ได้กระทำแล้ว เช่น การฟังธรรมในขณะนี้เป็นกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นเหตุที่จะให้เกิดผลคือวิบากจิต แต่วิบากซึ่งเป็นผลของกรรมจะมี ๒ ประเภทคือ เป็นวิบากที่ไม่มีเหตุเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นอเหตุกวิบากประเภทหนึ่ง และเป็นวิบากที่มีเหตุเจตสิกฝ่ายดีเพราะว่าเป็นผลของกุศลเกิดร่วมด้วยจึงเป็นสเหตุกวิบาก เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าไม่ว่าจะเป็นกรรมใดๆ ที่ได้กระทำแล้ว ใครยับยั้งไม่ให้ผลเกิดได้ไหมในเมื่อมีเหตุ เพียงแต่ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าวันไหน ขณะไหน กรรมใดจะสุกงอมพร้อมที่จะให้วิบากจิตเกิด ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
ต่อเมื่อใดผลของกรรมเกิด เมื่อนั้นก็รู้ว่าต้องมีกรรมซึ่งเป็นเหตุในอดีตที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็ให้ทราบว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรมจะทำให้เกิดผลที่เป็นวิบาก ๒ ประเภท คือวิบากประเภทหนึ่งไม่ประกอบด้วยเจตสิกที่เป็นเหตุ ๖ และวิบากอีกประเภทหนึ่งประกอบด้วยเจตสิกฝ่ายดี เพราะเหตุว่าอกุศลเหตุเกิดกับอกุศลจิตเท่านั้น จะไม่เกิดกับวิบากจิตเลย เวลาที่อกุศลกรรมที่ประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ดับไปแล้ว เช่นกรรมที่กระทำด้วยจิตที่ประกอบด้วยโลภะกับโมหะ กับกรรมที่กระทำด้วยจิตที่ประกอบด้วยโทสะกับโมหะ แม้ดับไปแล้วก็ให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ๗ ประเภทเท่านั้น ลองคิดดู นี่คือการที่เราจะรู้ว่าเวลาที่กรรมให้ผลจะให้ผลต่างกัน ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ให้ผลไม่มากประเภท แต่เวลาที่เป็นผลของกุศลกรรมจะประณีตขึ้นไปตามลำดับขั้น
เพราะฉะนั้น สำหรับอกุศลกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอกุศลกรรมที่หนักเบาประการใดก็ตาม เมื่อถึงกาละที่จะทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นจะมีผลของกรรมคือวิบากจิตซึ่งไม่มีเหตุใดๆ เกิดร่วมด้วยเลย แม้อกุศลเหตุก็เกิดไม่ได้ เพราะเหตุว่าถ้าอกุศลเหตุ คือ โลภะ โทสะ โมหะเกิดร่วมด้วยเมื่อไรต้องเป็นเหตุ จะเป็นผลไม่ได้ เพราะฉะนั้นผลของอกุศลวิบากเป็นอเหตุกจิต จะให้เจตสิกที่เป็นเหตุฝ่ายดีมาเกิดร่วมด้วยก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นอกุศลวิบากทั้งหมดก็จำตั้งแต่วันนี้ก็ได้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่าไม่ว่าจะเป็นกรรมที่หนักเบาประการใดก็ตาม ทำให้เกิดอกุศลวิบาก ๗ ประเภท หรือ ๗ ดวงเท่านั้น ซึ่งเป็นอเหตุกะด้วย ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปจากอกุศลกรรมจะได้รู้ว่าเป็นเหตุให้เกิดอกุศลวิบากมี ๗ เพราะฉะนั้นวิบากที่เหลืออื่นเป็นกุศลวิบากซึ่งประณีตขึ้น
ที่มา ...