กำลังฟัง เป็นอเหตุก หรือ สเหตุก
กำลังฟังอย่างนี้เป็นอเหตุกะ หรือสเหตุกะ ถ้าพูดถึงปรมัตถธรรมไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย กำลังฟังมีจิตกี่ประเภทเกิดร่วมด้วย ภวังคจิตไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยทั้งสิ้น ก่อนที่จะได้ยินเสียง วิถีจิตแรกต้องเกิดคือ ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นจิตที่รู้ว่าอารมณ์ใดกระทบทวารใดทำอาวัชชนกิจ หมายความถึงรำพึงถึง จะใช้ภาษาอะไรก็ได้ นึกถึง หรืออะไรก็ตามแต่ คือรู้ว่าขณะนั้นกระทบอารมณ์ทางทวารหนึ่งทวารใดแล้วแต่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทวารคืออะไร สำหรับทางนี้เป็นปรมัตถ์อะไร เป็นรูปปรมัตถ์ จักขุปสาทเป็นทวาร เป็นทางที่จะให้รูปที่เป็นสีสันวัณณะต่างๆ เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นวัณณะธาตุกระทบ สัททรูป สัททธาตุคือเสียงกระทบจักขุปสาทไม่ได้ ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเมื่อศึกษาธรรมก็ต้องเข้าใจว่า สิ่งที่เป็นตา หู จมูก ลิ้น กายที่เราพูดบ่อยๆ ต้องหมายความถึงรูปพิเศษที่เป็นปสาทรูปที่เกิดจากกรรมเป็นปัจจัย เป็นอเหตุกะ หรือสเหตุกะ อเหตุกะ มั่นใจเลย เป็นเหตุ หรือนเหตุ จักขุปสาทรูป เป็นนเหตุ คือไม่ใช่เหตุ
เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังฟังไม่ใช่ภวังคจิต จิตแรกเป็นวิถีแรกคือปัญจทวาราวัชชนจิตซึ่งหมายความถึงทางหนึ่งทางใด จะเป็นจักขุ ก็เป็นจักขุทวาราวัชชนะ ถ้าเป็นเสียง ก็เป็นโสตทวาราวัชชนะเป็นกิริยาจิตโดยเหตุ เป็นอเหตุกะ เพราะว่าเพียงขณะที่เพิ่งรู้ว่าอารมณ์กระทบ ขณะนั้นยังไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ หรือ อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก อโมหเจตสิก เกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นเรารู้จักจิตที่เป็นอเหตุกจิตที่เป็นกิริยาจิต เพราะขณะนั้นยังไม่เป็นกุศล หรืออกุศ และไม่ใช่วิบากด้วย ถ้าเป็นวิบากต้องตรง คือถ้าเป็นกุศลวิบากเกิดเพราะกุศลกรรมเป็นปัจจัยจะรู้เฉพาะรูปที่เป็นอิฏฐารมณ์เท่านั้น ไปรู้รูปที่เป็นอนิฏฐารมณ์ไม่ได้เลย และถ้าเป็นอกุศลวิบากหมายความว่าชื่อบ่งแล้วว่าเป็นผลของอกุศลกรรม จิตนั้นต้องรู้อารมณ์ที่เป็นอารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์ไม่น่าพอใจ อกุศลวิบากจะไปรู้อารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าสำหรับปัญจทวาราวัชชนจิตไม่ใช่วิบากจิต และก็ไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นกิริยาจิต
เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็จะมีกิริยาจิตเพียง ๒ ดวง คือปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตแรกทางปัญจทวาร และมโนทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตแรกทางมโนทวาร จิตทั้ง ๒ ประเภทนี้ ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นจึงเป็นอเหตุกจิต ถ้าจะขยายความเพิ่มก็ใช้คำว่า "อเหตุกกิริยาจิต" เพราะว่าเป็นกิริยาจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย เพราะเหตุว่ากิริยาจิตของพระอรหันต์มีเหตุเจตสิกเกิดร่วมด้วย และต้องเป็นโสภณเหตุด้วย อกุศลเหตุจะไปเกิดกับกิริยาจิตของพระอรหันต์ไม่ได้ พระอรหันต์ไม่มีอกุศลเจตสิกเพราะดับหมดแล้ว เพราะฉะนั้นก็มีโสภณเจตสิก ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ อโลภะ อโทสะ ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้นก็เป็นกุศลเหตุ แต่สำหรับพระอรหันต์ท่านก็มีโสภณเหตุแต่ไม่มีที่จะเกิดอีกเลยเมื่อจุติจิตคือปรินิพพานดับโดยรอบ เพราะฉะนั้นกิริยาจิตของพระอรหันต์จึงเป็นสเหตุกกิริยา ก็เป็นเหตุที่แม้จะใช้คำว่ากิริยาจิตก็ตาม ก็ยังเพิ่มเติมความเข้าใจได้ว่า กิริยาจิตนั้นมี ๒ ประเภท คือกิริยาจิตที่เป็นอเหตุกะ กับกิริยาจิตที่เป็นสเหตุกะ คุณแก้วมีกิริยาจิตกี่ดวง ๒ ดวง เป็นอะไร โดยเหตุ เป็นอเหตุกะ ทุกคนใช่ หรือไม่ ไม่ใช่เฉพาะแต่คุณแก้วเท่านั้นใครก็ตามที่ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่สำหรับพระอรหันต์ไม่มีทั้งกุศลจิต และอกุศลจิต
มโนทวาราวัชชนจิตที่รู้อารมณ์ทางใจเป็นวิถีจิตแรก พระอรหันต์มี หรือไม่ ต้องมี และเมื่อดับไปแล้ว กุศลจิต และอกุศลจิตเกิดต่อได้ หรือไม่ ไม่ได้ จิตที่เกิดต่อเป็นกิริยาจิตซึ่งเป็นสเหตุกจิต แทนที่จะเป็นกุศล หรืออกุศลก็เป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์
กิริยาจิตที่เป็นอเหตุกจิต ๒ ดวง สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์จะมีเพียงเท่านี้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่เป็นพระอรหันต์มีกิริยาจิต ๒ ดวง หรือมากกว่านั้น มากกว่านั้น เพราะว่าไม่มีกุศลจิต และอกุศลจิต
ถ้าใครถามเรื่องเหตุ นเหตุ อเหตุกะ สเหตุกะ ตอนนี้ก็คล่องแล้วใช่ไหม
ที่มา ...