ความหลากหลายของรูปร่างที่เกิดจากกรรม


    ชาตินี้แม้แต่เป็นคนก็ไม่เหมือนกัน เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยิ่งต่างกันไปมาก แล้วพวกเปรตอีก พวกสัตว์ในนรกอีก แล้วก็จะจากโลกนี้ไปอีกไม่นาน กรรมที่ได้กระทำแล้วก็จะทำให้มีรูปซึ่งใครก็เดาไม่ได้ใช่ไหม ว่ารูปของแต่ละท่านในภพหน้าชาติหน้าเป็นอย่างไร แต่ทั้งหมดก็มาจากการปรุงแต่งของสังขารขันธ์ของกรรมทั้งหลาย ซึ่งบางกรรมก็เป็นสภาพที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นชนกกรรม บางกรรมก็อุปถัมถ์ บางกรรมก็เบียดเบียน

    เพราะฉะนั้นจึงได้มีความหลากหลายมากในเรื่องของรูปร่างซึ่งเกิดจากกรรม ถ้าเป็นในอบายภูมิคือเกิดในนรก เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นต้องปฏิสนธิด้วยจิตที่เป็นอกุศลวิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ถึงตรงนี้ผู้ที่เคยได้ฟังมาบ้างแล้วก็คงจะทราบว่า อกุศลวิบากจิตที่มีจำนวน ๗ ประเภทนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้กล่าวถึงชื่อเพราะเหตุว่าไม่ต้องการจะให้สับสน และท่านที่มาใหม่จริงๆ ก็จะไม่ชินหูกับชื่อนั้นๆ เพราะฉะนั้นก็ให้ฟังเรื่องเหตุผลให้เข้าใจก่อน แล้วภายหลังเมื่อทราบว่าอกุศลวิบากจิต ๗ ประเภทนั้นมีอะไรบ้าง ก็จะรู้ว่าเพราะอะไร จิตนั้น เป็นหนึ่งใน ๗ ประเภทจึงทำปฏิสนธิกิจ

    ทุกคนในที่นี้ก็ได้ปฏิสนธิด้วยผลของกุศลกรรม ไม่ใช่อกุศลกรรม และเมื่อคืนนี้ก็ได้หลับ ซึ่งกรรมไม่ได้ให้ผลเพียงแค่ทำให้ปฏิสนธิกับเป็นภวังค์ ซึ่งภวังค์ในขณะนั้นก็จะต้องเป็นจิตประเภทที่เป็นผลของกรรมดีประกอบด้วยสติ ศรัทธา และบางท่านก็จะมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย หรือโดยส่วนมากของผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจ ก็ได้สะสมกุศลที่จะมีโอกาสได้ฟัง และก็มีโอกาสเข้าใจต่อไป แต่เราไม่สามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ว่าเป็นผลของกรรมใด แม้จะเป็นกรรมของผู้ที่ปฏิสนธิเป็นมนุษย์ก็จริง แต่จะประกอบด้วย ๒ เหตุ หรือ ๓ เหตุ ถ้าประกอบด้วย ๒ เหตุก็เป็นผลของกรรมที่ทำด้วยเหตุเพียงด้วยอโลภะ อโทสะ แต่ถ้าเป็นผลของกรรมที่ทำด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ คือประกอบด้วยเหตุ ๓ ในขณะที่มีการฟังธรรม มีการพิจารณา มีความเข้าใจ ถ้ากรรมนี้ให้ผล ปฏิสนธิก็จะเป็นจิตที่เป็นวิบากที่ประกอบด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ นี่คือความต่างกันของคนที่เกิดในกามภูมิ ซึ่งการปฏิสนธิในอบายเป็นผลของอกุศลกรรม แต่ปฏิสนธิเป็นมนุษย์ก็เป็นผลของกุศลกรรม แต่ต่างกันไปตามเหตุว่าประกอบด้วยเหตุ ๒ หรือ ประกอบด้วยเหตุ ๓ นี่คือ "เหตุ"

    ในขณะที่นอนหลับสนิทเป็นภวังคจิต และ ถ้าไม่มีเหตุ นั่นคือผู้ที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอสูรกาย เป็นเปรต หรือว่าเป็นสัตว์นรกเกิดในนรก ส่วนกามาวจรภูมิที่เป็นภูมิมนุษย์ หรือในสวรรค์ ปฏิสนธิต้องประกอบด้วยเหตุ เราจะรู้ หรือไม่รู้ แต่พื้นฐานของจิตก็จะทำให้ชีวิตเป็นไปตามกรรมอื่นๆ ซึ่งสามารถจะให้ผลได้ แล้วแต่ว่ากรรมนั้นจะให้ผลเมื่อใด ซึ่งก็จะทราบได้ว่ากรรมที่ทำแล้วต้องให้ผลแน่นอนโดยไม่ต้องมีเหตุเกิดร่วมด้วยเลย

    เพราะฉะนั้นอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้อกุศลวิบากจิตเกิดโดยไม่ต้องมีเหตุเกิดร่วมด้วยเลยทั้งหมด คือ ทั้ง ๗ ประเภท แต่สำหรับกุศลกรรมก็จะมีที่ทำให้จิตที่เป็นกุศลวิบากเกิดโดยไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยก็มีอีก ๘ ประเภท และที่ทำให้กุศลวิบากที่มีเหตุเกิดร่วมด้วยก็มี ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องค่อยๆ ศึกษาไป โดยให้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า กรรม คือ เจตนาที่ได้กระทำกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ถึงกาลก็ทำให้กุศลวิบากจิตเกิด หรืออกุศลวิบากจิตเกิด ต้องเป็นผู้ที่มีความมั่นคงในเรื่องของกรรม พร้อมกันนั้นก็ต้องรู้ด้วยว่ากรรมสามารถทำให้วิบากเกิดโดยที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยทั้งกุศลวิบาก และอกุศลวิบาก

    กุศลวิบากที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยมี หรือไม่ "มี" เพราะว่าอย่างไรกรรมที่ได้กระทำแล้วต้องเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากโดยไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยได้ สำหรับอกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลวิบากโดยไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยเลย ไม่ว่าเมื่อใด ที่ไหน ผลของอกุศลกรรมที่ทำให้อกุศลวิบากจิตเกิด อกุศลวิบากจิตทั้ง ๗ นั้นจะไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยเลย ไม่ว่าจะเกิดในนรก เกิดในสรรรค์ หรือเกิดเป็นมนุษย์ เมื่ออกุศลวิบากเกิดขึ้นเพราะอกุศลกรรม อกุศลวิบากจะไม่มีเหตุเกิดใดๆ ร่วมด้วยเลย ซึ่งต่างกับทางฝ่ายกุศล คือ ทางฝ่ายกุศลเป็นปัจจัยให้กุศลวิบากเกิดโดยไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยก็ได้ และทำให้กุศลวิบากมีเหตุเกิดร่วมด้วยก็ได้

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 60

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 61


    หมายเลข 6727
    25 ส.ค. 2567