ข้อสำคัญคือความรู้ของเราจริงๆในเรื่องของจิต
ข้อสำคัญที่สุดคือ ความรู้ของเราจริงๆ แม้แต่เพียงเรื่องลักษณะของจิต ทั้งๆ ที่ทรงแสดงไว้อย่างนี้ถึง ลักษณะ ถึงกิจ ถึงเหตุใกล้ให้เกิด ถึงอาการที่ปรากฏ เรารู้ได้เท่าไร หรือเรายังไม่รู้เลย เพียงแต่ทราบว่าขณะนี้มีจิตเพราะมีอารมณ์ปรากฏจึงรู้ได้ว่าถ้าไม่มีจิตอารมณ์จะปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏ เพราะจิตนั่นเองเป็นสภาพที่รู้แจ้งลักษณะของอารมณ์ นี่ก็แสดงว่าเราเริ่มมีความเข้าใจในลักษณะของจิต แต่ไม่ใช่การประจักษ์แจ้ง แต่เริ่มรู้ว่าถ้าใช้คำว่า “จิต” ต้องหมายความถึงสภาพธรรมซึ่งมีจริง เป็นธรรมจะใช้คำว่า “ธาตุ” หรือ “ธา+ตุ” ก็ได้ ใช้คำว่า “ธรรม” ก็ได้ และเมื่อเป็นจิตก็ต้องเป็นสภาพที่ไม่ใช่รูปโดยประการทั้งปวง ไม่มีลักษณะของรูปใดๆ เจือปนเลย
แต่แม้กระนั้นจะรู้ได้ว่ามีจิตก็เพราะเหตุว่าขณะนี้มีอารมณ์กำลังปรากฏ และลักษณะของจิตก็คือสภาพที่รู้แจ้งในอารมณ์ที่กำลังปรากฏ คือในขณะนี้เอง นี่ก็แสดงให้เห็นว่าแม้มีชื่ออย่างนี้ ทรงแสดงไว้อย่างนี้ แต่เราต้องค่อยๆ เข้าใจว่าจิตไม่ใช่รูป ไม่ใช่เจตสิก และเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ด้วย นี่คือความเข้าใจในอรรถซึ่งเป็นกิจ หรือเป็น รสะของจิตว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน
และขณะนี้แม้ว่าจิตเกิดดับโดยที่เรายังไม่มีการประจักษ์แจ้งเลย ถ้าขณะนั้นไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ก็จะไม่ใช่ขณะที่กำลังประจักษ์แจ้งลักษณะของจิต แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าเมื่อจิตเกิด และเราสามารถที่จะรู้ได้เพราะว่าแม้จิตขณะก่อนดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทำให้สามารถที่จะรู้ได้ว่าอาการที่ปรากฏก็คือการเกิดดับสืบต่อของจิต ใครจะยับยั้งว่าจิตนี้เกิด และดับไปแล้วไม่ให้มีจิตเกิดสืบต่อไม่ได้เลย เพราะว่าจิตทุกขณะเป็นอนันตรปัจจัย หมายความว่า สภาพธรรมของแต่ละอย่างก็มีปัจจัยในตัวของสภาพธรรมนั้นแต่ละอย่างซึ่งต่างๆ กันไป สำหรับจิต และเจตสิกเป็นอนัตรปัจจัย คือทันทีที่จิต และเจตสิกดับ ปราศไปแล้วก็จะเป็นปัจจัยให้จิตเจตสิกขณะต่อไปเกิดขึ้นอีก เพราะเป็นอย่างนี้เกิดดับสืบต่อจึงเป็นอาการที่ปรากฏให้รู้ได้ว่าขณะนี้มีจิต จิตที่ไม่มีอนันตรปัจจัยหรือไม่มีปัจจัยใดๆ อีกเลยก็คือ จุติจิตของพระอรหันต์ ซึ่งไม่เป็นปัจจัยให้เกิดในภพชาติต่อไป
ที่มา ...