จักขุปสาทรูป - จักขุทวาร


    จะขอกล่าวถึงจักขุปสาทรูป ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ที่ใช้คำว่า "ปสาท" เพราะว่าเป็นรูปที่มีคุณลักษณะเฉพาะตนพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ทำให้ขณะนี้เห็นสิ่งนั้นได้ ซึ่งความจริงวัณณะรูปมีอยู่ในทุกรูปที่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ไม่ปรากฏจนกว่าจะกระทบกับจักขุปสาท เพราะว่ารูปนี้สามารถจะกระทบกับจักขุปสาทได้เท่านั้น ถ้าเราทิ้งเรื่องถ่านไฟ เหล็กไฟ ขณะนี้มีรูปที่กำลังปรากฏทางตาอันนี้แน่นอน จะเรียกอะไร ไม่เรียกอะไร แต่ก็ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น มีลักษณะที่ปรากฏให้รู้สีสันวัณณะต่างๆ ได้

    รวมความว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้มีจริง และก็เป็นรูปชนิดหนึ่ง เราไม่ชินกับคำนี้เลย เราชินกับ รูปภาพ เห็นภูเขา เห็นอะไร เราชินกับรูปเหล่านั้น บอกว่ารูปเรารู้จัก รูปอย่างนั้น รูปกลม รูปเหลี่ยม เราก็บอกว่าเรารู้จัก แต่รูปในความหมายแท้จริง คือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้มี เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เอาเราออกหมดเลย ไม่มีเราที่กำลังนั่งอยู่ แต่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ต้องจริง และก็มีสภาพที่กำลังเห็นสิ่งนี้ด้วย สิ่งนี้จึงปรากฏได้ และในขณะนั้นไม่มีเรา ไม่มีใคร ไม่มีรูปอื่น แต่มีเห็นกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องลักษณะของนามธรรมก็คืออย่างไร ลักษณะของรูปธรรมคืออย่างไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ไม่ใช่จักขุปสาท แต่ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏเมื่อมีจิตเห็น ถ้าจิตไม่เห็น สิ่งนี้ปรากฏไม่ได้เลย ถึงจะมีก็ไม่ปรากฏ ที่ปรากฏได้ก็เพราะสามารถกระทบกับรูปๆ หนึ่งซึ่งต่างจากรูปอื่นคือไม่ใช่รูปอ่อน รูปแข็ง รูปเย็น รูปร้อน แต่เป็นรูปที่มีลักษณะที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา จึงชื่อว่า ปสาทรูป

    ในบรรดารูปทั้งหมด ๒๘ รูป จำไว้ก่อนก็ได้ว่ารูปจะไม่เกิน ๒๘ รูป ในรูป ๒๘ รูปจะมี ๕ รูปซึ่งเป็นรูปพิเศษ มองไม่เห็น กระทบไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามปรากฎให้เห็นเป็นวัณณะรูป ไม่ใช่เป็นจักขุปสาทรูป แต่สำหรับรูปที่เป็น ๕ รูปพิเศษ รูปหนึ่งคืออยู่ตรงกลางตาสามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เท่านั้น กระทบเสียงไม่ได้ กระทบกลิ่นไม่ได้ นี่เป็นรูปๆ หนึ่งใน ๒๘ รูป มีหรือไม่ ที่ไม่เห็น โดยที่ตาไม่บอด กรรมทำให้รูปนี้เกิดดับ รูปใดที่เกิดรูปนั้นต้องดับ มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นรูปจักขุปสาทที่เห็นขณะนี้ไม่ใช่รูปเดียวกับที่กำลังนอนหลับ รูปที่เกิดดับในขณะที่กำลังหลับก็เกิดดับไปเรื่อยๆ แม้ในขณะนี้ ปสาทรูปก็มีอายุเท่ากับสภาวรูปอื่นๆ รูปที่มีลักษณะจริงๆ จะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะฉันใด จักขุปสาทรูปขณะนี้ก็มีอายุเท่านั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็มีอายุเท่านั้น เมื่อกระทบกันก็ทำให้ภวังค์ไหว เป็น ภวังคจลนะ เมื่อถึงวาระที่กรรมจะให้ผลคือทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น ภวังคจลนะเกิดแล้วดับไป ภวังคุปัจเฉทะเกิดสืบต่อสิ้นสุดกระแสภวังค์ ถ้าเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ขณะที่กระทบนี้ หมายถึงภวังค์ที่ถูกกระทบเพื่อแสดงอายุของรูป ๑๗ ว่าขณะนั้นเป็นอตีตภวังค์ ถ้าได้ยินคำว่า “อตีตภวังค์” ทางทวารหนึ่งทวารใดใน ๕ ทวารให้รู้ว่าขณะนั้นรูปเกิด และกระทบกับจักขุปสาทเพื่อที่จะแสดงให้รู้ว่ารูปอายุ ๑๗ ขณะจะสิ้นสุดที่จิตขณะไหนที่ต้องเกิดดับสืบต่อกัน เพราะฉะนั้นเมื่อกระทบ ขณะแรกของภวังค์ที่ถูกกระทบขณะแรกเป็นอตีตภวังค์ ต่อจากนั้นก็เป็นภวังคจลนะไหว ภวังคุปัจเฉทะคือกระแสภวังค์ขณะสุดท้าย ซึ่งถ้าเป็นภวังคุปัจเฉทะหมายความว่าภวังคจิตจะเกิดอีกต่อไปไม่ได้ ต้องเป็นวิถีจิต

    วิถีจิตแรก ต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใดใน ๖ ทวาร เพราะว่าภวังคจิตไม่ได้อาศัยทวารเลยแม้แต่ทวารเดียว ทั้ง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แม้ทางใจด้วย เพราะฉะนั้นวิถีจิตแรกทางตาก็เป็นจักขุทวาราวัชชนจิต หรือว่าจะใช้คำว่า ปัญจทวาราวัชชนจิตก็ได้ถ้าไม่บ่งชี้เฉพาะว่าเป็นทางตา ขณะเดียวแล้วดับ จิตนี้อาศัยอะไรจึงได้เกิดขึ้น ถ้าไม่มีจักขุปสาทเป็นทวาร จะไม่มีอารมณ์ที่เป็นสีสันวรรณะ รูปธาตุจะมากระทบไม่ได้ เมื่อรูปธาตุกระทบไม่ได้ จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ ความชอบไม่ชอบในสิ่งที่เห็นก็เกิดไม่ได้ แต่จะเริ่มเมื่อรูปที่เป็นวัณณะรูปหรือรูปธาตุกระทบจักขุปสาท ก็เป็นปัจจัยให้วิถีจิตแรกซึ่งไม่ใช่ภวังคุปัจเฉทะรู้ว่าอารมณ์นั้นกระทบทางตาโดยอาศัยจักขุปสาท เพราะฉะนั้นจิตที่อาศัยจักขุปสาททั้งหมดที่จะเกิดสืบต่อรู้อารมณ์เพราะมีจักขุปสาทนั่นเองเป็นทวาร มิฉะนั้นแล้วสีสันวัณณะก็จะปรากฏตลอดไปจนกระทั่งเป็นอารมณ์ของจิตอื่นๆ ไม่ได้เลย โดยอารมณ์ของวิถีจิตแรกคือ “ปัญจทวาราวัชชนจิต” รูปยังไม่ดับ จักขุปสาทก็ยังไม่ดับ โดยจักขุปสาทนั้นเป็นจักขุทวาร เพราะจิตที่เกิดต้องอาศัยจักขุปสาทนี้ ทวารนี้ จักขุปสาทรูปนี้ ที่ต้องกระทบรูปนั้นเท่านั้นไม่ใช่กระทบรูปอื่นจึงรู้รูปนั้นได้ นี่ก็คงพอจะเข้าใจลักษณะของจักขุปสาทซึ่งเป็นจักขุทวาร เมื่อจิตเกิดขึ้นโดยอาศัยจักขุปสาทนั้น แต่ถ้าจิตไม่ได้เกิด ปสาทรูปนั้นก็ไม่ชื่อว่าเป็นทวาร เพราะเหตุว่าเกิดแล้วก็ดับแล้ว แต่ว่าเมื่อไหร่ที่จิตอาศัยรูปนั้น แล้วก็รู้สิ่งที่กระทบทวารนั้นๆ รูปนั้นๆ ก็เป็นทวาร ซึ่งมี ๕ รูปสำหรับ ตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กาย ๑

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 64


    หมายเลข 6761
    22 ม.ค. 2567