ถ้าไม่มีการฟังธรรม จะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กำลังกล่าวถึงกำลังมีอยู่ขณะนี้


    ทั้งๆ ที่ขณะนี้ที่กล่าวถึงทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้

    จะเห็นได้ว่าถ้าไม่มีการได้ฟังเรื่องต่างๆ เหล่านี้ เราจะไม่รู้เลยว่าขณะนี้ เดี๋ยวนี้ สิ่งที่ได้กล่าวถึงกำลังมีอยู่ เพราะว่าบางคนก็อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ขณะนี้ ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องธรรม ก็คิดว่าเป็นขณะอื่น แต่ความจริงทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เป็นธรรมซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนเลย เช่นในขณะที่เราเกิดมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เรารู้อะไรบ้างที่เป็นเหตุกับเป็นผล ขณะที่เกิดไม่รู้เลยใช่ไหม ขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นจิตประเภทที่มีเหตุ หรือประเภทที่ไม่มีเหตุก็ไม่รู้จนกว่าจะได้ฟังธรรมจึงจะทราบได้ว่าจิตจำแนกโดยนัยต่างๆ เช่น จำแนกโดยนัยที่ประกอบด้วยเหตุ ไม่ใช่เป็นเหตุ จิตเป็นเหตุไม่ได้ แต่ว่าจิตในขณะนี้ประกอบด้วยเหตุหรือว่าไม่ประกอบด้วยเหตุ ขณะนี้รู้ไหม ถ้าไม่ฟังเลยจะไม่ทราบ แต่ถ้าฟังจะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหตุ และเป็นผล เช่นที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ กรรมเป็นเหตุ วิบากเป็นผลของกรรม แต่ว่าเท่านั้นไม่พอเลย ทั้งหมดในวันหนึ่งๆ ไม่พ้นจากกรรม วิบาก กิเลส หรือจะกล่าวว่ากิเลส กรรม วิบาก ก็ได้ แล้วแต่ว่าเราจะกล่าวถึงขณะไหนก่อน เช่นขณะที่เกิดมาไม่ได้กระทำกรรมเลยทั้งสิ้น แต่เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว แล้วก็ไม่มีใครรู้เลย แม้ในขณะนี้ว่าปฏิสนธิจิต จิตที่ทำกิจเกิดขึ้นขณะแรกของแต่ละคนเป็นผลของกรรมอะไร

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าแม้ว่าเราจะศึกษาธรรม แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างซี่งไม่ใช่ฐานะของปัญญาของเราที่สามารถรู้ได้ แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ในเหตุ และในผล เช่นทุกคนที่เกิดมานั่งอยู่ที่นี่ต่างกันโดยกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีต เป็นเหตุให้ผลของกรรมที่ทำให้เกิดขึ้นก็ต้องต่างกันด้วย แต่แม้จะต่างกันอย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดในอบายภูมิ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เป็นผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นที่เกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรม แม้กระนั้นก็ยังไม่ทราบว่ามาจากกรรมไหนในชาติไหน นี่เป็นส่วนที่ไม่ทราบ แต่รู้ได้ว่าขณะที่เกิดเป็นผลของกรรมหนึ่ง ซึ่งก็ต้องจำแนกว่าผลของกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาก็มี ที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็มี คือประกอบด้วยปัญญาเจตสิกหรือไม่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก เพราะฉะนั้นรู้ได้ไหม ถ้ารู้แจ้งอริยสัจจธรรมเมื่อใด หรือว่ามีวิปัสสนาญาณเมื่อใด หรือว่าเป็นผู้ที่สนใจ เข้าใจธรรม เมื่อได้ฟังก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ขณะนั้นก็เป็นกุศลที่เป็นเหตุที่จะให้เกิดวิบากที่ประกอบด้วยปัญญา แต่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วในชาตินี้ ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ นอกจากว่าเมื่อฟังธรรมแล้วเข้าใจไหม อบรมเจริญปัญญาไปแล้วมีปัญญาเกิดได้มากน้อยแค่ไหน เช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่จะทราบได้ว่าปฏิสนธิจิตประกอบด้วยปัญญา และก็มีกุศลที่ไม่เป็นไปกับปัญญา ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ที่ได้รับผลของกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญามาก มีทรัพย์สินเงินทอง มีเกียรติยศ มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่มีปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลกของความไม่รู้ตั้งแต่เกิด แม้แต่ขณะที่เกิดก็ไม่รู้ว่าเกิดเป็นผลของกรรมอะไร แต่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งก็ประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา และถ้าเป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อน เราก็จะเห็นว่าแม้ว่าเกิดเป็นมนุษย์แต่ก็พิการตั้งแต่กำเนิดบ้างเป็นบ้า ใบ้ บอด หนวก หรือปัญญาอ่อน ประเภทนั้นก็เป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อน เพราะฉะนั้น ในชาตินี้เรามีกุศลกรรมที่เป็นอย่างอ่อนก็มี และก็ที่ประกอบด้วยปัญญาก็มี ที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็มี

    นี่เป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผล ที่ว่าจะมีผลที่ประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา หรือเป็นประเภทที่เกิดแล้วพิการตั้งแต่กำเนิด นี่คือขณะแรก จนกระทั่งแม้ในขณะเดี๋ยวนี้เอง หลังจากที่หลับไปแล้ว ขณะหลับ ต้องไม่รู้เรื่องอะไรเลยแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะปรากฏให้รู้เลย แต่ขณะนี้จากการที่ได้ฟังเรื่องของจิตที่มีเหตุเกิดร่วมด้วยกับไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย ต้องคิดถึงในขณะนี้ ในขณะที่กำลังเห็น จิตเห็น ไม่มีเหตุ ๖ คือ ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะเกิดร่วมด้วย จิตเห็นเป็นผลของกรรม เป็นวิบาก ภาษาบาลีใช้คำว่า “จักขุวิญญาณ” กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ เพราะฉะนั้นผลของกรรมที่จะให้เห็นสิ่งต่างๆ ก็แล้วแต่ว่าเป็นผลของกรรมอะไร ถ้าเป็นผลของกุศลก็เห็นสิ่งที่ดี ถ้าเป็นผลของอกุศลก็เห็นสิ่งที่ไม่ดี ด้วย ๒ ขณะจิตคือจักขุวิญญาณกุศลวิบาก และจักขุวิญญาญอกุศลวิบาก ไม่ประกอบด้วยเหตุ หากเราเข้าใจจิตในขณะนี้แล้วจะทราบว่าทั้งหมดจะมีจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุเท่าไหร่ ขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน ขณะที่ได้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส ขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุเลย

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 65


    หมายเลข 6834
    22 ม.ค. 2567