ทวิปัญจวิญญาณ - สัมปฏิจฉันน - สันตีรณ
แต่ทว่าเกิดแล้วดับเร็วมาก หลังจากที่จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ดับหมดแล้ว ก็จะเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น โดยกรรมทำให้จิตที่เกิดสืบต่อจากจักขุวิญญาณทำกิจรับรู้อารมณ์ต่อจากสิ่งที่จักขุวิญญาณเห็น หรือโสตวิญญาณได้ยิน โดยฐานะที่เป็นจิตที่รับรู้อารมณ์ต่อจากจักขุวิญญาณ จึงทรงบัญญัติคำว่า “สัมปฏิจฉันนะ” เป็นจิตที่รับต่อด้วยดี เวลาที่จิตเห็นขณะนี้เดี๋ยวนี้เองดับไป จิตอื่นจะเกิดต่อไม่ได้เลยนอกจากสัมปฏิจฉันนะจิต เรารู้ได้ไหม ก็ไม่รู้ แต่จากการฟังก็จะเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เห็นความมหัศจรรย์ของความเป็นธาตุคือธรรมแต่ละอย่าง แม้แต่ในการที่สภาพธรรมจะเกิดดับสืบต่อเป็นไปอยู่ทุกขณะ ผู้ที่ไม่รู้ความจริงก็ไม่สามารถจะรู้ได้เลยถึงความต่างของจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดต่ออย่างรวดเร็ว
เพราะฉะนั้นจิตที่รับรู้สิ่งที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ เป็นต้น เห็น ได้ยิน จิตนั้นก็ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย เพียงแต่ขณะที่เห็นดับ แล้วจะมีจิตนี้เกิดขึ้นสืบต่อ ขณะนั้นไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ หรือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เกิดร่วมด้วยเลย สัมปฏิจฉันนจิตเป็นวิบากจิตก็ต้องมีสอง ถ้าชื่อว่าเป็นวิบากแล้วจะมีเพียงหนึ่งไม่ได้ เพราะเหตุว่ามีกุศลวิบาก และอกุศลวิบาก เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นวิบากจะต่างกันตามประเภทของกรรม ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมเป็นปัจจัยแม้ว่าดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้วิบากหนึ่งวิบากใดทั้งหมดก็ตาม ภูมิใดก็ตาม ถ้ากุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากจิตเกิดขึ้น ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมดับไปก็เป็นปัจจัยให้อกุศลวิบากเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นวิบากมี ๒ อย่างตามเหตุ เมื่อเหตุเป็นกุศล ๑ อกุศล ๑ วิบากก็ต้องเป็นกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ซึ่งไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ นี่คือความน่ามหัศจรรย์ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นนั้นแล้วแต่เหตุปัจจัย แล้วแต่กรรมที่ได้กระทำไว้
หากกล่าวโดยย่อ สังสารวัฏฏ์ก็มี กิเลส กรรม วิบาก เพราะฉะนั้นที่วิบากใดๆ จะเกิดขึ้นต้องแล้วแต่กรรม และกรรมใดๆ ที่จะเป็นกุศล อกุศล ก็ต้องแล้วแต่สภาพธรรมที่ยังมีเชื้อที่จะทำให้เป็นกุศล และอกุศลอยู่ คือ กิเลส นี่ก็เป็นสิ่งที่มีในขณะนี้ ทุกคนทราบว่าจิตเห็นขณะนี้ดับ มีสัมปฏิจฉันนจิตเกิดต่อโดยกรรมเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้นสัมปฏิจฉันนเป็นวิบากจิตที่เกิดสืบต่อจากจิตเห็นในขณะนี้ กรรมให้ผลทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ๑๐ ดวงแล้ว สัมปฏิจฉันนะอีก ๒ ดวง รวมเป็น ๑๒ ดวง นี่เป็นผลของกรรมในขณะนี้เอง เมื่อสัมปฏิจฉันนะดับแล้ว กรรมก็ยังเป็นปัจจัยทำให้วิบากจิตอีก ๑ ขณะเกิดสืบต่อทำกิจสันตีรณะ เพราะฉะนั้นจากจักขุวิญญาณก็จะเป็นสัมปฏิจฉันนะ เป็นสันตีรณะ ทั้ง ๓ ขณะนี้เป็นวิบาก เป็นผลของกรรม คือกรรมทำให้วิบากเกิดขึ้นทำกิจต่างๆ เหล่านี้ สันตีรณะเกิดในขณะนี้หรือไม่ ต้องเกิดเพราะจักขุวิญญาณต้องดับ ไม่มีจิตใดที่เกิดแล้วไม่ดับ เมื่อจักขุวิญญาณดับแล้วจิตต่อไปเป็นวิบากหรือไม่ อย่าลืมว่ากรรมไม่ได้ทำให้เพียงจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ จิต ๑๐ ดวงนี้เกิดเท่านั้น แต่กรรมยังทำให้วิบากจิตเกิดสืบต่อ รับรู้อารมณ์เดียว สิ่งเดียวกับที่ทางตา หู จมูก ลิ้น กายรู้ เพราะฉะนั้นสัมปฏิจฉันนะเป็นวิบาก สันตีรณะก็เป็นวิบากด้วย นี่คือผลของกรรม ในวันหนึ่งๆ ไม่พ้นจากวิบาก สำหรับจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ จิต ๑๐ ดวงเป็นผลของกุศลกรรม ๕ เป็นผลของอกุศลกรรม ๕ รวมเป็นวิบาก ๑๐ สัมปฏิจฉันนะเป็นผลของกุศลกรรม ดังนั้นสัมปฏิจฉันนะเป็นกุศลวิบาก ๑ และเป็นผลของอกุศลกรรม สัมปฏิจฉันนะจึงเป็นอกุศลวิบาก ๑ รวมเป็น ๑๒ ดวง และต่อไปเมื่อสัมปฏิจฉันนะดับไปแล้ว สันตีรณะเป็นวิบากเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย แต่มี ๓ ดวง คือ อกุศลวิบาก ๑ และ กุศลวิบาก ๒ ก็ครบแล้ว อเหตุกวิบาก คือ จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๑๕ ดวง วิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจิตชาติใด ภูมิใด จิตทั้งหมดมี ๘๙ ประเภท ที่เป็นอเหตุกวิบาก คือจิตที่ไม่มีเจตสิก ๖ เกิดร่วมด้วยเลยมี ๑๕ ดวงเท่านั้น
ที่มา ...