ตอนนี้ขณะไหนเป็นอกุศล ขณะเป็นกุศล
ผู้ฟัง ตอนนี้ตรงไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล
อ.กุลวิไล ขณะที่มีโลภมูลจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นมีความติดข้องในอารมณ์ ถ้าเราชอบนั่นคือความติดข้องในอารมณ์นั้นก็เป็นโลภะ แต่ถ้าเราไม่ชอบในอารมณ์นั้น เราจะรู้ว่าจิตใจเราจะขุ่นมัวหรือว่าหนัก ไม่พอใจในอารมณ์นั้นก็จะเร่าร้อนใจ ในขณะนั้นก็เป็นโทสะที่เราไม่พอใจในอารมณ์นั้น แต่ถ้าเป็นกุศลแล้วจะเบาสบาย และผ่องใส เราไม่ติดในอารมณ์นั้น และเราก็ไม่เกิดความที่ไม่พอใจในอารมณ์นั้นด้วย และถ้าเป็นการอบรมเจริญสติปัฏฐานจะเป็นการรู้ลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละทาง จะมีลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรมปรากฏ ก็เป็นความสงบ และความเข้าใจในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนั้น ขณะนั้นก็มีกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาด้วย
ผู้ฟัง ขอให้ยกตัวอย่างขณะที่นั่ง
ท่านอาจารย์ ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ หลังจากที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้ว เป็นกุศลหรืออกุศลทั้งหมด เพราะฉะนั้นแสดงว่าจิตที่ไม่ใช่กุศล คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส โดยนัยของพระสูตร และตามความเป็นจริงที่สามารถจะเข้าใจได้ เพราะว่าเมื่อพูดถึงปัญจทวาราวัชชนะ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยความรวดเร็ว เพราะฉะนั้นขณะใดที่ไม่ใช่จักขุวิญญาณกำลังเห็น หรือจิตที่ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส นอกนั้นก็เป็นกุศลหรืออกุศล
เพราะฉะนั้นเวลานี้ เห็นตลอดเวลา เหมือนอย่างนั้น ใช่ไหม แต่ถ้ารู้ว่ารูปดับเร็วแค่ไหน ๑๗ ขณะจิต ขณะเห็นกับได้ยิน ยังแยกไม่ออกเลย เหมือนพร้อมกัน เกิน ๑๗ ขณะจิตแล้ว เพราะฉะนั้นรูปนี่ดับแล้ว จะเร็วสักแค่ไหน จึงปรากฏว่ามีสิ่งที่เห็นแล้วคิดโดยที่เราก็ไม่รู้ตัว แล้วขณะที่กำลังฟังมีใครรู้ไหม ถ้าไม่บอกว่าเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต มีจิตรู้ แต่เป็นกุศลหรืออกุศล นำชื่อมาเรียง นำตำรามากาง บอกได้ว่าถ้าขณะนั้นมีความขุ่นเคืองใจ ขณะนั้นเป็นอกุศล มีความติดข้องเป็นอกุศล ขณะที่กำลังฟังธรรมเป็นกุศล นี่ก็บอกแต่จะรู้ไหม เพราะว่าเร็วเหลือเกิน สภาพธรรมหลายวาระมากเลยที่จะเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งถ้าสติสัมปชัญญะไม่รู้ตรงลักษณะหนึ่ง สิ่งทั้งหมดที่เรากล่าวถึง เกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่ว่าเราจะรู้ตัวกุศลหรืออกุศล แต่เราเริ่มเข้าใจว่านอกจากเห็น นอกจากได้ยิน นอกจากได้กลิ่น นอกจากลิ้มรส นอกจากรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้วเป็นกุศลหรืออกุศลเท่านั้น สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ซึ่งตรงกันข้าม ถ้าเป็นพระอรหันต์ไม่มีทั้งกุศล และอกุศลเลย นี่คือความต่างกันอย่างเป็นผู้ที่ควรแก่การบูชาเป็นรัตนหนึ่งใน ๓ รัตนที่สามารถที่จะเป็นแม้สาวกที่ได้อบรมเจริญปัญญาจนประจักษ์แจ้งความจริง และดับกิเลสได้เป็นพระอริยบุคคล ในขณะที่สภาพธรรมแม้ในขณะนี้ก็ปรากฏเหมือนไม่มีอะไรดับเลย เพราะฉะนั้นก็เพียงแต่ว่าให้เราเริ่มแยกเห็นเป็นวิบาก ได้ยินเป็นวิบาก ได้กลิ่นเป็นวิบาก ลิ้มรสเป็นวิบาก รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นวิบาก หลังจากนั้นกุศลหรืออกุศล นี้คือ อย่างคร่าวๆ แต่ว่าตัวจริงๆ ก็คือฟัง แต่ขณะนี้รู้ไหมว่าเป็นกุศลหรือไม่ หรือเป็นอกุศล ขณะฟังก็ฟัง เสียงพัดลมก็มี นกร้องก็มี สิ่งที่กระทบสัมผัสแข็งก็มี เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่แยก เรื่องวิบากคือผลของกรรมว่าเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ขณะเห็น ขณะได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กล่าวซ้ำเพื่อเตือนให้รู้ว่า นอกจากนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล นอกจากนั้นส่วนใหญ่เป็นอะไร กุศลหรืออกุศล เห็นไหมวันหนึ่งๆ มากแค่ไหน แต่ไม่รู้
ที่มา ...