จิตชาติอะไรที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย


    ผู้ฟัง จิตมี ๔ ชาติ จิต ๒ ชาติไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยเลย

    ท่านอาจารย์ ได้แก่ จิตชาติอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง วิบากจิต กับกิริยาจิต

    ท่านอาจารย์ วิบากจิตมีเหตุเกิดร่วมด้วยได้ กิริยาจิตก็มีเหตุเกิดร่วมด้วยได้

    ผู้ฟัง จิตชาติวิบาก จิตชาติกิริยา มีเหตุ ๖ เกิดร่วมด้วยหรือ

    ท่านอาจารย์ จิตชาติวิบากมี ๒ ประเภท คือ สเหตุกะ และ อเหตุกะ

    ผู้ฟัง จิตชาติวิบากที่มีเหตุเกิดร่วมด้วย คืออะไร

    ท่านอาจารย์ จิตชาติวิบากที่มีเหตุเกิดร่วมด้วยคือ มหาวิบาก รูปาวจรวิบาก อรูปาวจรวิบาก

    ผู้ฟัง มีเหตุเกิดร่วมด้วยใช่ไหม แต่ยังมองไม่เห็นภาพ ขอให้กรุณาอธิบาย

    ท่านอาจารย์ เวลาที่กรรมที่ได้กระทำไปแล้วต้องมีผลต่อเมื่อถึงกาละที่สมควรที่จะให้ผลนั้นๆ เกิดขึ้น กรรมทำมามากมาย แล้วแต่ว่ากรรมไหนที่จะให้ผลเมื่อใด ก็เป็นปัจจัยให้ผล คือ จิตที่เป็นวิบากเกิดขึ้น กรรมก็ทำให้รูปเกิดได้ด้วย แต่รูปไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น กรรมสามารถจะทำให้ทั้งจิต เจตสิก และรูปเกิด แต่เมื่อกล่าวถึงเหตุ ซึ่งเป็นเจตสิก ๖ ก็ไม่กล่าวถึงรูป แต่จะกล่าวถึงเฉพาะจิต และเจตสิกซึ่งเป็นผลของกรรม กรรมที่ได้กระทำไปแล้วก็จะให้ผลเป็นวิบากจิตแน่นอนที่สุด ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า วันหนึ่งๆ จิตที่เป็นวิบากคือขณะใด เมื่อใด เพื่อที่จะได้รู้ว่าขณะนั้นๆ เป็นผลของกรรมแน่นอน เมื่อเป็นวิบากจิตแล้วต้องเป็นผลของกรรม แต่กรรมที่ให้ผลให้ผลเป็นวิบากต่างกัน คือ ถ้าเป็นอกุศลกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบากที่ไม่มีเหตุ ๖ เกิดร่วมด้วยเท่านั้น อกุศลกรรมที่ได้กระทำไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นกรรมหนักมากสักเท่าไหร่ก็ตาม เช่น ทำร้ายพระโลหิตของพระพุทธเจ้าให้ห้อ หรือ การฆ่าสัตว์ การทุจริตต่างๆ ทั้งหมดหนักเบาเท่าใด ก็ให้ผลเป็นอกุศลวิบากจิตเพียง ๗ ประเภทเท่านั้น คือ ๗ ดวงไม่มากกว่านั้นเลย เป็นอเหตุกะจิต คือ จักขุวิญญาณ จิตเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นอกุศลวิบาก จิตได้ยินสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นอกุศลวิบาก จิตได้กลิ่นที่ไม่น่าพอใจเป็นอกุศลวิบาก จิตลิ้มรสที่ไม่น่าพอใจเป็นอกุศลวิบาก เพียงเห็น เพียงได้ยิน เพียงได้กลิ่น เพียงลิ้มรส เพียงรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้วหมดไปเลยก็ไม่พอ ยังมีวิบากจิตซึ่งรับรู้อารมณ์นั้นต่อ ซึ่งเป็นสัมปฏิจฉันนอกุศลวิบากอีก ๑ และเมื่อสัมปฏิจฉันนอกุศลวิบากดับไปแล้ว สันตีรณอกุศลวิบากก็เกิดต่ออีก ๑ รวมเป็น ๗ ที่เป็นอกุศลวิบาก ไม่มากกว่านั้นเลย ไม่ว่าภพไหน ภูมิไหน แต่สำหรับกุศลกรรมให้ผลมากกว่านั้นอีก คือนอกจากจะให้ผลเป็นกุศลวิบากถึง ๘ ประเภท มากกว่าอกุศลวิบากที่มีเพียง ๗ ประเภท ซึ่งเป็นอเหตุกะไม่มีเหตุ ๖ เกิดร่วมด้วยเลย ก็ยังให้ผลเป็นสเหตุกวิบากได้ด้วย นี่เป็นการจำแนกบุคคลซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมว่าแม้อย่างนั้นก็ยังต่างกัน เกิดมาเป็นมนุษย์ในภูมิที่มีขันธ์๕ ต่างกับพวกที่เกิดในอบายภูมิ ปฏิสนธิจิตต่างกันแล้วใช่ไหม เกิดเป็นมนุษย์กับเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสูรกาย พวกนี้ก็ต่างกัน เพราะว่าเป็นผลของอกุศลกรรม จะเกิดเป็น มนุษย์ เป็นสุขติภูมิ สวรรค์ เทพพวกนี้ไม่ได้เลย ต้องเกิดในอบายภูมิ ๔ เป็นอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๔ เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเกิดในนรก นี่คือผลของการเกิด

    แต่เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็ต่างกันแล้ว ถึงแม้เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็ต่างกันไปตามกรรมอีก ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมที่ไม่มีกำลัง อ่อนมาก ขณะนั้นก็มีอกุศลกรรมเบียดเบียนได้ ทำให้บุคคลที่เกิดแม้ไม่เกิดในอบายภูมิ เกิดในมนุษย์ได้แต่ก็เป็นผู้ที่พิการ บ้า ใบ้ ตั้งแต่กำเนิด ขณะนั้นเป็นกุศลวิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ นี่คือความต่างกันของผู้ที่เกิดในมุษย์เป็นผลของกุศลกรรม ฉะนั้นจิตของเขาเป็นกุศลวิบาก แต่เป็นอเหตุกะ คือไม่ประกอบด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ พื้นฐานของจิตก็จะต่างกับผู้ที่ปฏิสนธิด้วยผลของกุศลกรรมที่ไม่ใช่กุศลวิบากที่เป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก แต่ปฏิสนธิด้วยจิตประเภทที่เป็นกามาวจรวิบากที่เป็นมหาวิบาก เพราะฉะนั้นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บุคคลที่พิการตั้งแต่กำเนิด ก็จะเป็นผู้ที่ต่างกันอีก เพราะว่าบางท่าน กุศลกรรมที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาให้ผล เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตก็มี อโลภเจตสิก อโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    เพราะฉะนั้นกุศลก็ให้ผลมากกว่าทางฝ่ายอกุศล ถึงแม้เป็นวิบากก็มี ๒ ประเภท คือวิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๖ และวิบากที่ประกอบด้วยเหตุ ๓ แล้วแต่ว่าจะ ๒ เหตุ หรือ ๓ เหตุ บางคนก็เกิดพร้อมด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ คือ มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ก็สามารถที่จะฟังพระธรรมเข้าใจ อบรมเจริญปัญญา สามารถที่จะถึงการเป็นฌาณจิตเวลาที่อบรมสมถภาวนา หรือสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ก็เป็นผลของกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นก็เป็น "สเหตุกะ"

    ผู้ฟัง จิตชาติวิบากมีทั้งอเหตุกะ และสเหตุกะ ส่วนจิตชาติกิริยาไม่มีเลยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ จิตชาติกิริยาก็เหมือนกัน กิริยาจิตที่เป็นอเหตุกะก็มี ที่เป็นสเหตุกะก็มี ถ้าเป็นกิริยาจิตที่เป็นสเหตุกะก็เป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์ ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ก็มีกิริยาจิตที่เป็นอเหตุกะ

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 78


    หมายเลข 7074
    22 ม.ค. 2567