รูปารมณ์กระทบปสาทรูปแล้วทำไมไม่เกิดอาการเห็นเลย


    ผู้ฟัง ขณะที่เห็น รูปารมณ์กระทบกับจักขุปสาทรูป แล้วทำไมไม่เกิดอาการเห็นเลย

    ท่านอาจารย์ คำถามของคุณสุกัญญาก็เหมือนกับจะถามว่าเมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้วทำไมไม่เห็นเลย ทำไมต้องเป็นภวังค์ก่อน คือความคิดของเราจะคิดอย่างไรก็ได้ เหมือนกับว่าทำไมเราตื่นขึ้นมา เราไม่เห็นเลย หรือว่าเราตื่นขึ้นมา ทำไมเราไม่เป็นกุศลหรืออกุศลเลย ทำไมต้องมีจิตที่เกิดก่อน คำถามเหมือนอย่างนี้ เพราะเหตุว่า เราคิดว่าธรรมต้องเป็นอย่างนี้ จึงต้องเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงธรรมเป็นธรรม ธรรมแต่ละขณะที่เกิดขึ้นมีปัจจัย หลายปัจจัยที่ทำให้เกิดโดยเราไม่รู้เลย เช่น เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นขณะแรก ต้องมีปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด เราอาจจะรู้ว่าขณะนี้มีเห็นแต่ไม่รู้ว่าเห็นเกิดขึ้นได้อย่างไร มีปัจจัยอะไรบ้าง อย่างมากที่สุดที่จะคิด ด้วยความเป็นเรา ด้วยความเป็นตัวตนคือว่าต้องมีจักขุปสาท ต้องตาไม่บอด ถ้าตาบอดก็ไม่เห็น สำหรับเสียงก็เหมือนกัน ถ้าเป็นคนหูหนวก เสียงก็ไม่ปรากฏ เราคิดได้แค่นี้ แต่เราไม่รู้ถึงความเป็นธรรมว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลง บังคับบัญชาได้ ธรรมต้องเป็นธรรม และธรรมก็เป็นปัจจัย แล้วก็เกิดจากปัจจัยด้วย เช่น ปฏิสนธิจิต จิตขณะแรก ถ้าไม่มีกรรมเป็นปัจจัย ไม่มีการเกิด อย่างผู้ที่เป็นพระอรหันต์ดับกิเลสหมด หลังจากนั้นแล้วแม้ว่าจะมีชีวิตอยู่เป็นปกติ แล้วเป็นประโยชน์ต่อบุคคลมากมาย แต่ก็ไม่ใช่กรรมที่จะทำให้เกิดวิบาก นี่ก็แสดงให้เห็นว่าจิตเหมือนกันเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ แต่ปัจจัยที่มีอยู่ในจิตนั้นๆ ต่างกัน โดยที่จุติจิตของพระอรหันต์ไม่เป็นอนันตรปัจจัยที่จะทำจิตขณะต่อไปเกิด

    เพราะฉะนั้นเมื่อจุติจิตของชาติก่อนดับ เราจะเคยเป็นใครที่ไหนมีความผูกพัน สนุกสนานรื่นเริง มีทรัพย์สมบัติหรือว่ายากไร้สักเท่าไหร่ ไม่มีทางที่จะเป็นบุคคลนั้นอีกได้เลย แม้แต่จะรู้ก็รู้ไม่ได้ เหมือนประตูที่ปิดสนิท จะกลับมองย้อนไปว่าข้างในหรือข้างหลังมีอะไรก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตที่จะเกิดเมื่อมีกรรมเป็นปัจจัย แต่ไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียว ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมกันเป็นสหชาตปัจจัย และปฏิสนธิจิตของแต่ละคนเมื่อเกิดดับสืบต่อจากเด็กถึงผู้ใหญ่ก็จะปรากฏอาการของการสั่งสมตั้งแต่อดีตอนันตชาติ ทุกขณะที่เป็นกุศล อกุศล แม้ว่าจะเล็กน้อยสักเท่าไหร่ก็เป็นปัจจัยที่มีกำลัง ที่ได้กระทำมาแล้ว เมื่อได้กระทำแล้วก็เป็นกำลังส่วนหนึ่ง ที่จะสะสมไปที่จะทำให้สิ่งนั้นๆ เกิดขึ้นอีกได้ ปัจจัยนี้ก็คือ " ปกตูปนิสสยปัจจัย "

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพูด จะทำ จะคิดเป็นกุศล อกุศลอย่างไร ดับไปแล้วก็เป็นส่วนที่จะเป็นกำลังที่เมื่อได้เกิดแล้วก็จะสะสมทำให้อนาคตต่อไปเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นๆ เช่น เราเคยใช้คำพูดอย่างไร มีกิริยาวาจาอย่างไรสิ่งนั้นก็สะสมสืบต่อ ทำให้น้อมไปสู่การที่จะมีกายวาจาอย่างนั้น นี่ก็หลายปัจจัยใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้วเป็นอนันตรปัจจัย หมายความว่า ทำให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น แต่โดย "สมนันตรปัจจัย" หมายความว่าจิตต่อไปจะเกิดขึ้นเป็นอะไรต้องเพราะสมนันตรปัจจัยของปฏิสนธิจิต ซึ่งเมื่อดับแล้วเป็นปัจจัยให้ภวังคจิตเกิด เราจะเห็นทันทีไม่ได้ ได้ยินทันทีไม่ได้ ฉันใด เวลาที่รูปกระทบกับจักขุปสาท จะทำให้เห็นทันที ได้ยินทันทีไม่ได้ เพราะว่าขณะนั้นเป็นภวังค์อยู่ดำรงภพชาติโดยที่ไม่ได้อาศัยทางหนึ่งทางใดเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดเลย ฉะนั้นเมื่อภวังคุปัจเฉทะดับ อาศัยการกระทบของรูปที่ปสาทนั้นๆ เป็นปัจจัยให้วิถีจิตเกิด

    วิถีจิต หมายความว่า จิตที่อาศัยทางหนึ่งทางใดเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางนั้น เช่น เสียงที่กระทบหูต้องอาศัยโสตปสาทเป็นรูปที่เป็นทางหรือเป็นทวารที่จะให้จิตเกิดขึ้นรู้เสียงที่กระทบ และยังไม่ดับไป เพราะว่าเสียงยังไม่ดับ และกระทบ เพราะฉะนั้นจะให้จิตเกิดขึ้นได้กลิ่นเป็นไปไม่ได้ในเมื่อเป็นเสียงกระทบ แล้วภวังค์ขณะนั้นก็มีเสียงกระทบกับปสาทซึ่งจะทำให้จะสิ้นสุดของกระแสภวังค์เพราะมีสิ่งที่กระทบ แต่การที่กระทบแล้วจะได้ยินหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วถึงกาละที่จะให้ผลทำให้จิตเกิดได้ยินหรือไม่ ถ้าไม่ถึงกาละก็กระทบไปเรื่อยๆ แล้วก็เป็นภวังคจลนะ จนกระทั่งรูปนั้นดับก็ไม่มีการได้ยินนั้นเกิดขึ้นเลย เพราะฉะนั้นการที่เราจะเข้าใจการเป็นธรรมโดยถ่องแท้ก็ต่อเมื่อเรารู้ลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ว่าสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ทำให้คนไม่สามารถจะรู้ความจริงว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไป สืบต่อจนกระทั่งไม่ปรากฏเลยว่าอะไรดับ มีแต่ความทรงจำยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคง แต่แท้ที่จริงขณะนี้ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องราวอย่างที่เราเข้าใจเลย แต่มีสภาพธรรมเกิดแล้วดับ แล้วมีความทรงจำในเรื่องนั้นๆ เพราะฉะนั้นเวลาที่ภวังค์ไหว เพราะกรรมเป็นปัจจัยที่จะทำให้มีการได้ยินซึ่งเป็นผลของกรรม จะได้ยินทันทีก็ยังไม่ได้ เพราะว่าเป็นภวังค์ๆ มาตลอดก็จะต้องมีการสิ้นสุดกระแสภวังค์ก่อน เพราะฉะนั้นหลังจากที่ภวังคจลนะดับไปแล้ว ภวังค์ที่เกิดต่อเป็นภวังค์ขณะสุดท้าย จะใช้คำว่าตัดกระแสภวังค์ก็ได้ จะใช้คำว่าภวังค์สุดท้ายก็ได้ เพราะว่าเมื่อภวังคุปัจเฉทะดับ ภวังคจิตจะเกิดต่อไปอีกไม่ได้เลย ต้องเป็นวิถีจิต เพราะเหตุว่ามีอารมณ์กระทบแล้วยังไม่ดับ แล้วถึงกาละที่กรรมให้ผลทางหู เพราะฉะนั้นวิถีจิตขณะแรกต้องมี แต่วิถีจิตขณะแรกโดยการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบว่าไม่ใช่โสตวิญญาณ ไม่ใช่จิตได้ยินทันที ต้องเป็นจิตที่เปลี่ยนสภาพจากภวังค์ เป็นการรู้สึก เป็นวิถีจิตทางหนึ่งทางใดแต่ยังไม่ได้ยิน จนกระทั่งปัญจทวาราวัชชนจิตซึ่งเป็นวิถีจิตขณะแรก เพราะว่าต่อไปจะทราบว่าวิถีจิตจะเกิดดับสืบต่อจนกว่ารูปนั้นจะดับ เรียกว่าวาระหนึ่งๆ เพราะว่ารูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ถ้ารูปยังไม่ดับ อาศัยทวารนั้นเอง จิตที่เกิดสืบต่อจึงได้รู้รูปนั้นจนกว่ารูปนั้นจะดับ

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 80


    หมายเลข 7119
    22 ม.ค. 2567