ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ จะมีอเหตุกจิตครบ 18 ดวงหรือไม่
ผู้ฟัง เรียนใหม่ก็ต้องฟังระดับนี้ คือ ระดับที่ท่านอาจารย์บรรยาย พร้อมทั้งการเจริญสติปัฏฐานบ่อยๆ เนืองๆ สติก็จะเจริญ คือต้องอบรมตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ ขอทบทวนด้วยคำถามซึ่งทุกคนก็คงจะตอบได้ เพราะที่ผ่านมา เรากล่าวถึงจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุซึ่งเป็นอเหตุกจิต และได้กล่าวถึงจำนวนทั้งหมดด้วยซึ่งก็ไม่มากเลย จิตทั้งหมดมี ๘๙ ประเภท เป็นอเหตุกจิต คือจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๑๘ ประเภท ขอถามว่าผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ จะมีอเหตุกจิตครบทั้ง ๑๘ ไหม ไม่ครบ ขาดอะไร
ผู้ฟัง ขาดหสิตุปปาทจิตเป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะว่าสำหรับอเหตุกจิต ๑๘ ดวง เป็นวิบาก ๑๕ ดวง กิริยาจิต ๓ ดวง สำหรับกิริยาจิต ๓ ดวง คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ เป็นวิถีจิตแรกทางปัญจทวาร มโนทวาราวัชชนจิต ๑ เป็นวิถีจิตแรกทางมโนทวาร (ซึ่งต้องเกิดกับทุกคน) ไม่ว่าใคร พระอรหันต์มีปัญจทวาราวัชชนจิตไหม มี คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็มี พระอรหันต์มีมโนทวาราวัชชนจิตไหม มี ไม่มีไม่ได้ ใช่ไหม อย่างไรก็ต้องเกิด ต้องคิด ต้องนึก แม้คนไม่ใช่พระอรหันต์ก็ต้องมี แต่พระอรหันต์มีกิริยาจิตซึ่งไม่เกิดกับเหตุที่เป็นอเหตุกจิตหนึ่งดวงคือ "หสิตุปปาทจิต" ซึ่งเป็นจิตที่ทำให้เกิดการแย้มหรือการยิ้มของพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าพระอรหันต์ไม่หัวเราะ ไม่มีกิเลสที่จะทำให้เพลิดเพลินสนุกสนานปีติ จนกระทั่งเกิดการหัวเราะขึ้น แต่สำหรับพระอรหันต์ก็จะมีจิตที่เบิกบานเป็นโสมนัส เป็นปัจจัยให้รูปมีอาการของความเบิกบาน อาจจะที่นัยน์ตาแจ่มใส หรือการแย้มหรือการยิ้มเพียงที่จะเห็นไรฟัน นั่นคือจิตที่ทำให้เกิดการแย้มยิ้มของพระอรหันต์ที่ไม่มีเหตุเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกครั้งที่พระอรหันต์ยิ้ม จะเป็นจิตดวงนี้หรือประเภทนี้เท่านั้น แม้กิริยาจิตที่เป็นมหากิริยาญาณสัมปยุตต์ หรือญาณวิปปยุตต์ อสังขาริก หรือสสังขาริก นี้กล่าวล่วงเลยไปจากที่เคยเรียน แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะบางท่านอาจจะทราบแล้ว จิตของพระอรหันต์ที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา แม้ไม่ใช่อเหตุกจิตแต่เป็นมหากิริยาจิตที่ประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ประกอบด้วยปัญญาก็เป็นปัจจัยให้เกิดการเบิกบาน การแย้มหรือการยิ้มของพระอรหันต์ได้แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็หัวเราะ ก็ยิ้ม ก็เบิกบาน แต่ไม่ใช่ด้วยหสิตุปปาทะจิต เป็นกิริยาจิตไม่ได้ แต่จะเป็นอกุศลจิตก็ได้ เป็นกุศลจิตก็ได้ ในขณะที่เกิดการแย้มหรือการยิ้ม นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเรามีความเข้าใจทั้งหมดแล้วในเรื่องของอเหตุกจิต ๑๘ ดวง
หสิตุปปาทะจิตเกิดเมื่อใด ก็เหมือนกับกุศลจิต และอกุศลจิตของคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ คือ เกิดต่อจากโวฏฐัพพนจิตทางปัญจทวาร หรือเกิดต่อจากมโนทวาราวัชชนจิตทางมโนทวารนั่นเอง เพราะฉะนั้นเวลาที่มีการเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และมีความยินดีพอใจ จิตต้องเริ่มเป็นวิถีตั้งแต่วิถีจิตแรก ถ้าเป็นทางปัญจทวารก็เป็นปัญจทวาราวัชชนจิต แล้วจิตเห็น หรือ จิตได้ยิน เป็นต้น เกิดต่อแล้วก็ดับไป แล้วมปฏิจฉันนะเกิดต่อแล้วก็ดับไป สันตีรณะก็เกิดต่อแล้วก็ดับไป โวฏฐัพพนะเกิดต่อแล้วก็ดับไป ต่อจากนั้นก็จะเป็นหสิตุปปาทจิตที่ทำให้เกิดการแย้มยิ้มของพระอรหันต์ ซึ่งเมื่อกล่าวโดยกิจคือ "ชวนกิจ" หมายความว่าพ้นจากการเห็น และการรับรู้ หรือการพิจารณาจนกระทั่งการที่จะกระทำทางให้จิตประเภทที่เป็นกุศล และอกุศลหรือกิริยาเกิด โวฏฐัพพนจิตดับไปแล้ว ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็จะเป็นกิริยาจิตเท่านั้น จะเป็นกุศล และอกุศลไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ก็จะต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดเสมอ คือ เป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิต เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าวันหนึ่งหลังจากอเหตุกจิตดับไปแล้ว สเหตุกจิตก็เกิดขึ้น แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าโดยกิจ จิตที่เกิดที่เป็นกุศลหรืออกุศลไม่ใช่อาวัชชนกิจ ไม่ใช่ทัศนกิจของจิตเห็น หรือไม่ใช่สวนกิจของจิตได้ยิน ไม่ใช่สัมปฏิจฉันนกิจ ไม่ใช่สันตีรณกิจ ไม่ใช่โวฏฐัพพนกิจ แต่เป็นชวนกิจเพราะเหตุว่าเป็นไปอย่างเร็วแล่นไป ๗ ขณะซ้ำกัน ถ้าเป็นโลภมูลจิตก็เป็นโลภมูลจิตหนึ่งขณะเกิดแล้วก็ดับไปเป็นปัจจัยให้โลภมูลจิตเกิดอีกแล้วก็ดับไปทั้งหมด ๗ ขณะสะสมสืบต่อ
ที่มา ...