ความไม่มีสาระของอเหตุวิบาก - สเหตุกวิบาก
อ.กุลวิไล ภวังคกิจก็เพียงแต่ว่าหลับสนิทเท่านั้นเอง เรียนถามท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นอเหตุกะไม่มีโสภณเหตุเกิดร่วมด้วยเลย ส่วนสภาพธรรมที่เราจะกล่าวได้ว่าเป็นสภาพธรรมที่ดีงาม ก็เมื่อมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นสำหรับสเหตุกจิตซึ่งเป็นกุศลวิบากก็ต้องเป็นสภาพธรรมที่ดีกว่า เพราะเหตุว่ามีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย ซึ่งความจริงเรื่องของวิบาก ถ้าเราจะเข้าใจจริงๆ จะรู้ได้เลยว่าไม่มีสาระเลย โดยเฉพาะของอเหตุกวิบาก และกุศลวิบากที่เป็นอเหตุกะด้วย คือจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ และเป็นเพียงชาติวิบาก ลองคิดดูว่าจะทำอะไรได้ เพียงต้องเกิดขึ้นเห็น เมื่อถึงกาละแล้วก็ดับไปเลย แค่เห็นสิ่งที่ปรากฏ หรือเพียงแค่ได้ยินเสียงแล้วก็ดับไป แต่การที่เรามีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทำให้เราคิดว่าเราต้องการเห็นอีก เราอยากจะได้วิบากที่ดีต่างๆ กุศลวิบาก ได้เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี แต่เพียงชั่วขณะที่สั้นมากแล้วก็ดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลยเท่านั้นในสังสารวัฏฏ์
แต่สำหรับสเหตุกวิบากก็เป็นพื้นฐานของจิตซึ่งสามารถที่จะประกอบด้วยปัญญาเจตสิกได้ ซึ่งในชาตินั้นในฐานะที่ปฏิสนธิจิตเป็นกุศลวิบากที่เป็นสเหตุกะประกอบด้วยเหตุ ๒ และถ้าดีกว่านั้นประกอบด้วยเหตุ ๓ เพราะเหตุว่ามีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย จะทำให้บุคคลนั้นเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็ปัญญาที่มีสะสมมา และปฏิสนธิก็ประกอบด้วยปัญญาเจตสิกก็สามารถที่จะเข้าใจธรรม แล้วก็อบรมเจริญปัญญายิ่งขึ้น ถ้าอบรมเจริญสมถภาวนา ผู้นั้นก็สามารถที่จะบรรลุถึงฌาณจิต แต่ไม่ได้หมายความถึงทุกท่าน ขึ้นกับเหตุปัจจัยของแต่ละคนซึ่งละเอียดมาก และก็ถ้าอบรมเจริญสติปัฏฐานก็สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้แต่ไม่ใช่หมายความว่าทุกท่าน เพราะฉะนั้นสำหรับวิบากที่เป็นสเหตุกะก็ต้องดีกว่า เพราะเหตุว่าแม้ในขณะที่ทำภวังคกิจไม่ได้รู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดเลย แต่เมื่อได้รู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดแล้วก็ยังสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมนั้นจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
ที่มา ...