เดี๋ยวนี้อะไรเป็นรูป ก่อนจะเข้าใจสมุฏฐานของรูป
ท่านอาจารย์ ถ้าจะกล่าวอะไรก็ควรจะเข้าใจสิ่งนั้นก่อนว่าคืออะไร ถ้าจะกล่าวถึงสมุฏฐานของรูป ก็จะต้องเข้าใจก่อนว่ารูปมีจริงๆ แต่ว่าไม่ใช่สภาพรู้ และก็ต้องเป็นปัญญาของเราที่สามารถที่จะบอกได้ว่าถ้าเข้าใจแล้วว่ารูปมีจริง และสภาพที่เป็นรูปนั้นไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย ขณะนี้อะไรเป็นรูป ต้องบอกก่อน แล้วเราถึงจะรู้สมุฏฐาน พอจะบอกได้ไหมว่า ขณะนี้อะไรเป็นรูป ขณะนี้มีรูปอะไรบ้าง
ผู้ฟัง ถ้ายกตัวเราเองได้ไหม
ท่านอาจารย์ ไม่ รูปเป็นสิ่งที่มีจริง และก็รูปไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะว่าถ้าเราเพียงฟังอาจจะไม่ได้ฟังตั้งแต่ต้นก็เลยคิดว่าตัวเราเป็นรูป แต่ถ้าพูดถึงธรรมสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลย แต่มีลักษณะที่ปรากฏให้รู้ว่าสิ่งนั้นมี เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังมีปรากฏในขณะนี้ต้องมีแน่ๆ และสิ่งที่มีที่ปรากฏให้รู้นั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยเป็นรูป เพราะฉะนั้นก่อนที่จะกล่าวถึงสมุฏฐานก็ควรจะพูดให้เข้าใจชัดเจนว่าขณะนี้อะไรเป็นรูป
ผู้ฟัง ความแข็งเป็นรูป เสียงเป็นรูป
ท่านอาจารย์ แข็งมีเป็นรูป ที่ว่าต้องรู้จริงเพราะว่าแข็งไม่รู้อะไรแน่ๆ ใช่ไหมแต่แข็งมี แต่สิ่งที่มีไม่ว่าจะเป็นนามธรรม หรือรูปธรรม ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจะไม่รู้เลยว่าต้องมีปัจจัย หรือสมุฏฐานให้เกิดสำหรับรูป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นปรากฏจะปรากฏเกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้ สำหรับคนที่ไม่รู้คือลอยๆ คือไม่รู้อะไรเลย เป็นรูปก็ไม่รู้ เกิดมาอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ผู้ที่ตรัสรู้ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นโดยตลอด โดยสิ้นเชิง สำหรับรูปที่มีเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ประการนี้ต้องไม่ลืมด้วย ไม่ใช่ว่ารูปตั้งอยู่นาน รูปไหนก็ตามที่เกิดขึ้นเป็นสภาวรูปแล้วจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เราก็จะมาหาสมุฏฐาน ว่าใครทำให้รูปเกิด ทำได้ไหม ทำความเพียร ทำให้มีความเพียรได้ไหม
ผู้ฟัง ถ้าเราตั้งใจ
ท่านอาจารย์ แต่ตัวเพียร ทำยังไงให้เกิดตัวเพียร ความโกรธมีไหม ทำให้เกิดความโกรธได้ไหม
ผู้ฟัง มันเกิดขึ้นเอง
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างต้องเข้าใจว่าทั้งนามธรรม และรูปธรรมต้องมีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถทำให้นามธรรมใด รูปธรรมใดเกิดได้เลย เพราะฉะนั้นสำหรับรูปธรรมจะมีสมุฏฐานคือธรรมซึ่งก่อตั้งให้เกิดรูปได้ เช่น กรรมดับไปแล้วก็จริง นานแสนนานก็จริง แต่กรรมที่ได้กระทำแล้วสามารถที่จะทำให้รูปเกิดได้ คิดดูถึงความน่าอัศจรรย์ของธรรม กรรมมีมากมายไม่รู้ว่ากี่กรรม แต่กรรมก็สามารถเป็นปัจจัยให้รูปเกิดขึ้นโดยกรรมนั้น จึงกล่าวว่ารูปนั้นเป็นกัมมชรูป คือรูปที่เกิด (ชะ คือ เกิด) กัมมชรูป คือ รูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน จักขุปสาทบางคนมี บางคนไม่มี โสตปสาท รูปที่สามารถรับกระทบเสียงบางคนก็มี บางคนก็ไม่มี นักวิทยาศาสตร์จะทำให้รูปนี้เกิดได้ไหม
ผู้ฟัง ในการช่วยทางอื่น
ท่านอาจารย์ แต่ไม่สามารถจะทำให้รูปนี้เกิดได้เลย เพราะฉะนั้นก็เข้าใจได้ว่า มีรูปอยู่ ๘ รูปซึ่งเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน เกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐาน เกิดจากอาหารเป็นสมุฏฐาน ให้รู้แค่นี้ก่อน แต่รูปทั้งหมดถึงจะกล่าวว่ามี ๒๘ รูป ก็ต้องแยกว่ารูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานใช้คำว่า "มหาภูตรูป" มี ๔ รูป รูปทั้งหมดมี ๒๘ เพราะฉะนั้นอีก ๒๔ รูป ไม่ใช่มหาภูตรูป แต่อาศัยมหาภูตรูป ชื่อว่า "อุปาทายรูป" ธรรมที่ได้ฟังไม่เปลี่ยนเลย มหาภูตรูป ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ๔ ไม่เปลี่ยนอีกเหมือนกัน ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่แยกจากกันเลย ไม่มีที่ใดที่มีแต่ธาตุดิน ไม่มีธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และไม่มีที่ใดที่มีแต่ธาตุน้ำ ไม่มีธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม มหาภูตรูป ๔ ไม่แยกจากกันเลย และมหาภูตรูป ๔ เกิดจากกรรมก็มี เกิดจากจิตก็มี เกิดจากอุตุก็มี เกิดจากอาหารก็มี รูปกลุ่มหนึ่งที่เกิดเพราะว่ารูปไม่แยกจากกันเลย จะเกิดเพียงรูปเดียวไม่ได้ ที่กล่าวแล้วก็มี ๔ รูปที่ต้องเกิดร่วมกัน กลุ่มของรูป ๔ รูปเกิดจากกรรมขณะใดไม่ใช่กลุ่มของรูปที่เกิดจากจิต ไม่ใช่กลุ่มของรูปที่เกิดจากอุตุ ไม่ใช่กลุ่มของรูปที่เกิดจากอาหาร รูปใดเกิดจากสมุฏฐานใดก็เกิดจากสมุฏฐานนั้น และสำหรับรูป ๔ รูปเมื่อเกิดแล้วก็จะมีอุปทายรูปเกิดรวมด้วย อีก ๔ รูปคือ สี หรือวัณณะที่สามารถจะกระทบกับจักขุปสาท ๑ รูป กลิ่น ๑ รูป รส ๑ รูป โอชา ๑ รูป รวม ๘ รูปเกิดจากสมุฏฐาน ๑ สมุฏฐานใดใน ๔ สมุฏฐาน
เพราะว่าบางคนไม่มีจักขุปสาท ไม่มีโสตปสาท ไม่มีรูปอื่นเกิดร่วมด้วยได้ก็จริง แต่อย่างน้อยเมื่อรูปเกิดขึ้นแล้วต้องมีรูป ๘ รูป ซึ่งเกิดจากสมุฏฐานหนึ่งสมุฏฐานใดใน ๔ สมุฏฐาน ต่อไปก็จะมีรูปเพิ่มขึ้น เมื่อรู้ว่ารูปนั้นเกิดจากสมุฏฐานอะไร
ที่มา ...