ทวารทั้ง ๖ เป็นรูป ๕ เป็นนาม ๑ -พฐ.95
ผู้ฟัง ทวารทั้ง ๕ ก็คือปสาท เช่น จักขุปสาทเป็นทวารทางตา แล้วมโนทวาร คืออะไร
ท่านอาจารย์ ต้องทราบว่าทวารทั้ง ๖ มีเท่าไหร่ก่อน ทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์มีเท่าไหร่
ผู้ฟัง ทางที่จิตรู้อารมณ์ก็ต้องมี ๖ ทวาร
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เป็นรูป ๕ เป็นนาม ๑ เวลาที่ฟังเราอาจจะไปติดที่จำนวนบ้าง ชื่อบ้าง แล้วก็เตรียมจะตอบบ้าง ก็เลยลืมฟังที่คุณวิชัยพูดไปก่อนหน้านี้ว่า เมื่อมีการคิดนึกเกิดขึ้น การคิดนึกไม่ได้อาศัย ปัญจทวารหนึ่งทวารใดเลย ไม่เหมือนเห็น เห็นต้องอาศัยจักขุปสาทเป็นทวาร คือเป็นทางที่จิตจะเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นจิตใดก็ตามที่อาศัยเกิดโดยทวารนั้นเป็นจักขุทวารวิถีจิตทั้งหมด เพราะฉะนั้นวิถีจิตจะไม่มีเพียงขณะเดียว แต่จะเกิดสืบต่อกันหลายขณะรู้อารมณ์ที่มีอายุ ๑๗ ขณะที่ยังไม่ดับ ซึ่งความจริงถ้านับรวมทั้งภวังค์ด้วยถึงจะเป็น ๑๗ ขณะ ถ้าจะนับเฉพาะวิถีจิตก็ไม่ถึง ๑๗ ขณะ ความเข้าใจก็คือต้องเข้าใจจริงๆ ในคำที่ได้ยินได้ฟัง เช่นรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ จะไปเกิดตอนไหนอย่างไรก็เกินจากนี้ไม่ได้ จะต้องดับไป และจิตจะเกิดรู้รูปนั้นมากน้อยเท่าไหร่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ใครจะไปทำให้รูปนั้นมีอายุยืนยาวไปให้จิตอื่นๆ มาเกิดรู้ด้วยไม่ได้ รูปที่เป็นสภาวรูปจะมีอายุเพียง ๑๗ ขณะจิตเท่านั้น
เพราะฉะนั้นสำหรับปสาทรูปก็เป็นรูปที่สามารถจะรับกระทบกับรูป เช่น จักขุปสาทสามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ จักขุปสาทรูปกระทบรูปอื่นไม่ได้เลย ไม่สามารถที่จะรับกระทบกับรูปอื่นได้ สำหรับโสตปสาทก็เป็นรูปที่เกิดขึ้น และสามารถรับกระทบเฉพาะเสียงเท่านั้น และทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย รวมเป็น ๕ ทวาร แต่เวลาที่คิดนึกไม่ได้อาศัยตาก็คิด ไม่ได้อาศัยหู จมูก ลิ้น กายก็คิด แล้วจะเกิดคิดขึ้นมาได้อย่างไรเพราะว่ากำลังเป็นภวังค์อยู่ แล้วจะเปลี่ยนเป็นการคิดนึกก็ต้องหมายความว่ามีเรื่องที่เป็นอารมณ์ที่ได้สะสมไว้ ที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้มีการตรึก นึกถึงเรื่องนั้น จึงรู้เรื่องนั้นได้ ที่เรากำลังคิดนี้อยู่ดีๆ จะเป็นกุศลจิต อกุศลจิต ในขณะที่กำลังคิดไม่ได้ เพราะว่าจริงๆ แล้วจิตที่คิดเรื่องราวต่างๆ ด้วยกุศลจิตหรือด้วยอกุศลจิต จิตที่เป็นกุศลคิดหรือจิตที่เป็นอกุศลคิด เพราะฉะนั้น ความคิดของเรามีทั้งที่เป็นกุศล และอกุศล แต่ก่อนที่จะคิด จิตเป็นภวังค์ เพราะฉะนั้นจะให้มีกุศลจิตเกิดทันทีไม่ได้ แต่จะต้องมีจิตที่เป็นอาวัชชนะ เป็นจิตที่รำพึงถึง ถ้าใช้ในภาษาที่แปล แต่ความจริงก็เกิดเพียงหนึ่งขณะแล้วก็นึกถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตาม นึกถึงรูปหนึ่งรูปใดก็ตาม รวมความว่าทางมโนทวารวิถีจิตสามารถที่จะรู้อารมณ์ได้ทุกอารมณ์
เพราะฉะนั้นมโนทวาราวัชชนจิตก็แล้วแต่ว่าจะคิดถึงอะไร มีปัจจัยที่จะทำให้ความคิดนั้นเกิดขึ้น ภวังคจิตก็ไหว และต่อจากนั้นก็เป็นอนันตรปัจจัยให้ภวังคุปัจเฉทะเกิดขึ้น เพราะถ้าไม่มีภวังคุปัจเฉทะเกิดก่อน วิถีจิตจะเกิดไม่ได้เลย ฉะนั้นภวังค์สุดท้ายก็คือภวังคุปัจเฉทะ เมื่อเกิดแล้วดับไปจะเป็นภวังค์อีกต่อไปไม่ได้ จะเป็นจิตอื่นก็ไม่ได้นอกจากวิถีจิตทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นทางใจ มโนทวาราวัชชนจิตเกิดก่อน ที่เรากำลังคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใดให้ทราบว่ามโนทวาราวัชชนจิตเกิดก่อนแล้วดับไป จากนั้นแล้วกุศลจิตหรืออกุศลจิตสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็เกิดขึ้นมีอารมณ์นั้นที่ปรากฏทางใจเป็นอารมณ์ ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็เป็นกิริยาจิต ดังนั้น ขอถามว่าอะไรเป็นมโนทวาร
ผู้ฟัง ก็ต้องภวังค์ดวงสุดท้าย
ท่านอาจารย์ ใช่ ภวังคุปัจเฉทะเป็นมโนทวาร จึงกล่าวว่าทวารมี ๖ เป็นรูป ๕ ทวาร คือ ปสาทรูป ๕ และเป็นนาม ๑ ทวาร คือ ภวังคุปัจเฉทะ เพราะฉะนั้น ความต่างกันก็คือ ภวังคุปัจเฉทะเป็น "มโนทวาร" ไม่ใช่มโนทวาราวัชชนจิต แต่มโนทวาราวัชนจิตเป็นวิถีจิตแรก ไม่ใช่มโนทวาร เพราะมโนทวารได้แก่ภวังค์ขณะสุดท้าย คือภวังคุปัจเฉทะ แต่วิถีจิตแรก คือ มโนทวาราวัชชนจิต เพราะฉะนั้นต้องระวัง ๒ ชื่อ มโนทวาร ได้แก่ ภวังคุปัจเฉทะ ส่วนมโนทวาราวัชชนะเป็นวิถีจิตแรกทางใจที่เกิดต่อจากภวังคุปัจเฉทะ
ที่มา ...