นามธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวันที่ปัญญาพอจะรู้ได้


    ผู้ฟัง ในเรื่องสภาพธรรมที่ปรากฏที่เราสามารถจะรู้ได้ เช่น รูป ก็พอจะทราบว่าที่รู้ได้เพียงสภาวรูป ซึ่งมี ๗ รูปในชีวิตประจำวัน ส่วนนามธรรมที่เราศึกษาทั้งวิถีจิต และทางทวารต่างๆ และวาระต่างๆ ไม่ทราบว่าในชีวิตประจำวันจะสามารถเกื้อกูลอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก่อนฟังธรรมมีคุณสุกัญญาแน่นอนใช่ไหม แต่ฟังธรรมแล้วมีธรรม เพราะฉะนั้น กำลังเห็นเป็นตัวคุณสุกัญญาเห็น หรือ เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าตอบท่านอาจารย์ก็สุกัญญาเห็นตอนนี้

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง นี่คือก่อนเรียน แน่นอนมีความเชื่อมั่นว่าเป็นเราเห็น แต่เมื่อฟังแล้วจากการฟัง มีอะไรที่เป็นคน เป็นสัตว์ เพราะว่าสภาพธรรมจริงๆ มีจิต เจตสิก รูป นิพาน มีแค่ ๔ เท่านั้นเอง ในพระไตรปิฎกไม่ว่าจะทรงแสดงโดยคัมภีร์ใด พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎกก็ตาม เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงที่ไม่ใช่เรา และต้องเป็นผู้ที่รู้จริงอย่างละเอียด อย่างกว้างขวางที่สามารถจะกล่าวถึงสภาพธรรมนั้นๆ โดยนัยต่างๆ ได้ แต่ก็ไม่พ้นจากธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเรายังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม ก็ยังมีเราที่กำลังรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น แม้การฟังก็ต้องฟังโดยการพิจารณาให้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วมีหรือไม่ เช่น"เห็น" มี แต่"เห็น"จะเป็นเราได้อย่างไร ในเมื่อถ้าไม่มีจักขุปสาท ไม่มีรูปที่สามารถกระทบมาในคลองของจักขุปสาทนั้น และถ้าไม่มีปัญจทวาราวัชชนจิต คือ วิถีจิตแรกเกิดขึ้น เพราะว่าก่อนนั้นไม่มี"เห็น" ก่อน"เห็น"ต้องไม่มี"เห็น" ก่อน"ได้ยิน"ต้องไม่มี"ได้ยิน" ก่อน"ได้กลิ่น"ต้องไม่มีการ"ได้กลิ่น" เพราะว่าจิตเกิดขึ้นในขณะปฏิสนธิไม่ได้รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภวังคจิตก็ไม่ได้รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้นอารมณ์อะไรๆ ก็ไม่ได้ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมีปราฏขึ้นได้ในขณะนี้ซึ่งเราไม่เคยรู้เลยว่าทำไมถึงเห็นได้ใช่ไหม แต่เมื่อรู้ก็จะรู้ได้ว่าต้องมีปัจจัยคือต้องมีจักขุปสาท และต้องมีรูปารมณ์ คือสิ่งที่กระทบกับจักขุปสาท และต้องมีปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดก่อน ถ้าปัญจทวาราวัชชนจิตไม่เกิดคือเป็นภวังค์ จิตเห็นเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นต้องมีวิถีจิตแรกคือปัญจทวาราวัชชนจิตเกิด รู้ว่าอารมณ์กระทบเพียงชั่วขณะสั้นๆ แล้วดับไป แล้วจิตเห็นจึงจะเกิดขึ้นสืบต่อจากจิตที่รู้ว่าอารมณ์นั้นกระทบทวารใด คือทางตา แล้วจิตเห็นก็เกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นเป็นคุณสุกัญญาหรือไม่ มิเช่นนั้นที่เราฟังมาทั้งหมดเรื่องจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ เรื่องภวังคจิต เรื่องวิถีจิตก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

    ผู้ฟัง แสดงว่าตราบใดที่เรายังเห็นเป็นเหมือนปัจจุบัน เห็นเป็นตัวเราเห็น การฟังธรรมของเรา เรายังไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง นี่เป็นเหตุที่ต้องเนื่องกัน คือ ต้องมีปัญญาระดับขั้นการฟังก่อน ถ้าไม่มีปัญญาที่เกิดจากขั้นได้ยินได้ฟัง สิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงจากการตรัสรู้ ใครจะคิดขึ้นมาได้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

    ผู้ฟัง ถึงแม้ว่าเราจะฟังอย่างนี้ เราฟังครั้งหนึ่ง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ๔ ครั้ง เราก็ยังมีความรู้สึกว่า เราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง นี่ขั้นฟัง ก็จะต้องมีการอบรมต่อไปอีก แต่ขั้นฟังนี่ต้องชัดเจนในความเป็นอนัตตาคือเข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา ความเข้าใจขั้นฟังทำให้ละความสงสัยหรือความไม่รู้ที่เกิดจากการไม่เคยฟังเท่านั้นเอง แต่ว่าดับกิเลสไม่ได้ จะต้องมีการอบรมซึ่งการอบรมก็คือให้สิ่งซึ่งยังไม่ได้เกิด ให้เกิดขึ้นคือปัญญาอีกระดับหนึ่งที่สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นทีละ ๑ ขณะ จะรู้หลายๆ อย่าง หลายๆ ประเภทพร้อมกันไม่ได้เลย ต้องทีละ ๑ ลักษณะ ต้องเป็นการอบรมที่เป็นความรู้จริงๆ เพราะว่าเป็นความรู้ของผู้ฟัง ไม่ใช่ความรู้ของคนอื่น เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังก็จะเข้าใจได้ด้วยตัวเองว่าเข้าใจแค่ไหน และเข้าใจด้วยว่าความรู้ขั้นฟังไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ ต้องมีการอบรมต่อไปอีกจนสามารถประจักษ์แจ้งเหมือนเห็นมะขามป้อมบนฝ่ามือ

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 96


    หมายเลข 7470
    22 ม.ค. 2567