เป็นเราระลึกรู้บ่อยๆ ก็ผิดแล้ว
ผู้ฟัง การที่ให้เราระลึกรู้บ่อยๆ ..
ท่านอาจารย์ เราระลึกรู้ก็ผิดแล้ว
ผู้ฟัง ใช่ๆ มีเราระลึกรู้ไปแล้ว
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วถ้าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ขณะนี้สติเกิดระลึกแล้วโดยเราไม่ได้คิดเลย จึงจะรู้ว่าขณะนั้นเป็นอนัตตา เพราะขณะนั้นกำลังมีลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งที่สติกำลังระลึกธรรมดาๆ อย่างนี้
ผู้ฟัง แต่จากการที่ฟังไม่มีเราให้ระลึกรู้บ่อยๆ
ท่านอาจารย์ เมื่อมีปัจจัยสติสัมปชัญญะก็เกิด ถ้าไม่มีก็ไม่เกิด เหมือนได้ยิน เสียงไม่มากระทบหูจะได้ยินได้ไหม หรือคนที่มีเสียงแต่ว่าโสตปสาทไม่มี จะได้ยินก็ไม่ได้อีกเช่นกัน หรือกำลังหลับสนิทมีทั้งเสียงทั้งโสตปสาทก็ไม่ได้ยินอีก ก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยทั้งหมด นี่คือหนทางที่จะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นถ้าฟังธรรมจริงๆ จะรู้ได้เลยว่าทั้ง ๓ ปิฎก ทั้ง ๔๕ พรรษา เป็นกถาคือเป็นคำที่ทรงแสดงเพื่อให้ละคลายความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นฟังแล้วต้องเข้าใจถูกว่าเพื่อละคลาย ไม่ใช่ฟังแล้วตัวเราอยากจะให้ไม่มีกิเลสอย่างนี้
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าฟังเพื่อให้ละคลาย
ท่านอาจารย์ เพื่อให้เข้าใจ เข้าใจแล้วก็คือหมดแล้วอกุศลมาอีกแล้ว
ผู้ฟัง ยิ่งศึกษาไปทุกวันๆ ก็มีความรู้สึกว่าเรามีความติดข้องมาก
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร เพราะไม่ใช่พระโสดาบัน เพราะอะไร เพราะวิปัสสนาญาณยังไม่เกิด ทำไมวิปัสสนาญาณยังไม่เกิดเพราะว่าสติปัฏฐานก็ยังไม่ได้ระลึกจนกระทั่งรู้ทั่วในลักษณะของสภาพธรรม
ผู้ฟัง ยากมาก
ท่านอาจารย์ กำลังสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ที่พูดอย่างนี้
ผู้ฟัง ฟังเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะเราเพิ่งฟัง
ผู้ฟัง ถ้าจะบอกว่าอยากเข้าใจ ก็มีตัวเราอยากอีกแล้ว
ท่านอาจารย์ แน่นอน ต้องรับความจริง รู้ความจริงว่าการละความเป็นตัวตนไม่ใช่เพียงขั้นฟัง แค่เข้าใจทั้งหมดไม่สามารถที่จะละความเป็นตัวตนได้
ผู้ฟัง ในความเข้าใจยังคิดว่าการที่เราเข้าใจเป็นตัวหนังสือ
ท่านอาจารย์ เราเข้าใจ
ผู้ฟัง มีเราเข้าใจอีกแล้ว เป็นตัวหนังสือ ตอบได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่อีก
ท่านอาจารย์ ก็เพราะคือเรา
ผู้ฟัง เพราะมีเราเข้าไปเกี่ยวข้องนั่นเอง
ท่านอาจารย์ จะเข้าใจความหมายของการอบรมเจริญปัญญาเป็น “จิรกาลภาวนา” ไหม คำนี้มีในพระไตรปิฎก
ผู้ฟัง คำนี้ชอบมาก
ท่านอาจารย์ แล้วจะไม่ยาวนานได้อย่างไร เพียงแค่ทางตาเคยระลึกบ้างไหมในขณะนี้ เพียงเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่ต้องไปประจักษ์การเกิดดับอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้ายังไม่ค่อยๆ เข้าใจเช่นนี้ ไม่ใช่ไปพยายามทำให้เห็นว่าไม่ใช่คน แต่มีความรู้ค่อยๆ เข้าใจถูกทีละน้อยว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านี้เอง แล้วก็มีจริงด้วย กำลังปรากฏจริงๆ
ผู้ฟัง ฟังเหมือนง่ายแต่ก็ยาก
ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นเช่นนี้ เพราะเราคุ้นเคยกับอวิชชาความไม่รู้กับความติดข้อง ลองคิดตามที่เปรียบเทียบเมื่อครู่นี้ โลภมูลจิต ๗ ขณะ โทสมูลจิต ๗ ขณะ โมหมูลจิต ๗ ขณะ กุศลก็ ๗ ขณะเหมือนกัน แล้วแต่ว่ากุศลจิตจะเกิดมากหรืออกุศลจิตจะเกิดมาก
ที่มา ...