นี่คือปัญญาขั้นคิดที่มาจากการเข้าใจจากการฟัง -พฐ.100
ผู้ฟัง ความเข้าใจจะเกิดขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย แล้วก็เข้าใจเพิ่มขึ้นได้เอง ถึงแม้จะมีตัวตนอยู่ แต่ก็เป็นลักษณะที่เข้าใจขึ้นไม่เหมือนที่เข้าใจครั้งแรก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าปัญญาด้วยความรู้ความเข้าใจต้องมี ๓ ระดับ ถ้าเราไม่เคยฟังไม่ได้ยินมาเลย แม้แต่เจตสิกเราก็ไม่รู้ รูปเราก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงก็เกิดดับ เพราะฉะนั้นจากการฟังมากๆ บ่อยๆ ก็จะเกิดคิดขึ้นมาได้ ความจริงจากการฟังที่ได้เข้าใจแล้วปรุงแต่งให้แม้แต่ความคิดก็เป็นความคิดที่ถูกในเรื่องธรรม เพราะว่าวันหนึ่งๆ เราคิดเรื่องอื่นมาก ชีวิตจริงๆ เราต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าทรงแสดงให้เห็นตามความเป็นจริงเพื่อการขัดเกลา เพื่อการรู้ลักษณะของสภาพธรรมว่าในขณะที่เกิดความคิดเรารู้เลยว่ามาจากการเข้าใจ จากการฟังปรุงแต่งให้บางกาละการคิดตามทำนองหรือคลองของธรรมก็เกิดขึ้นในความไม่เที่ยง ในการที่จะต้องรับผลของกรรม เมื่อเช้านี้ใครได้รับความรู้สึกที่เป็นทุกข์ทางกายบ้างไหม มีอะไรตกถูกเท้าบ้างไหม แม้แต่เจ็บนิดเดียว ขณะนั้นถ้าได้ฟังธรรมแล้วเราก็รู้ว่าถึงกาละที่กรรมจะให้ผล ใครก็ทำไม่ได้เลย ไม่ใช่ขณะอื่นด้วย ต้องเป็นขณะนี้ และก็ต้องเป็นในลักษณะอย่างนี้ และความเจ็บที่เกิดขึ้นก็เท่านี้ตามกำลังของกรรม จะไปเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น เวลาที่มีอะไรมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็เป็นเหตุการณ์ต่างๆ ใจที่สะสมธรรมไว้ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าขณะนั้นคือผลของเหตุที่ได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ขณะไหน จนกระทั่งมาถึงขณะที่แม้กำลังเห็นโดยที่ยังไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราคิดว่าเราได้ลาภหรือเสื่อมลาภ ได้ยศหรือเสื่อมยศ เพียงแค่เห็น จะระลึกได้ไหมว่านี่คือผลของกรรม ยังไม่เกิดแต่ว่าจากการฟังบ่อยๆ และก็มีการเข้าใจว่าขณะนี้จิตเห็นก็กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นเอง สั้นมาก เพราะเหตุว่ามีเสียงแล้ว เพราะฉะนั้น ความเป็นตัวตนที่คั่นอยู่ทำให้เรายังไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมได้ ทั้งๆ ที่ขณะที่เห็นสั้นแล้วเสียงก็ปรากฏ อ่อนหรือแข็งก็ปรากฏ คิดนึกก็มีสลับคั่น แต่ด้วยความไม่รู้ และด้วยความเป็นเรา จึงยังให้ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ต้องอาศัยการฟังต่อไปอีก แล้วก็จะเห็นความคิดของเราที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นอกุศลสะสมมาที่จะคิดอย่างนั้น ใครก็เปลี่ยนความคิดที่เกิดขึ้นเป็นอกุศลในขณะนั้นก็ไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่เป็นกุศลที่คิด ใครก็เปลี่ยนจิตที่เป็นกุศลที่คิดในขณะนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดก็คือเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่ว่าเราเรียนเรื่องจิตประเภทต่างๆ แล้วเราไม่เคยเห็น ไม่เคยเข้าใจชีวิตจริงๆ เลย อย่างนั้นจะเรียนทำไมใช่ไหม ก็อยู่แต่เพียงในตำรา แต่ถ้าเรียนแล้วสามารถที่จะเข้าใจได้นี่คือขั้นคิดหลังจากที่ได้ฟังเป็นจินตามยปัญญาซึ่งเกิดต่อจากสุตมยปัญญา แต่เราก็รู้ว่าขณะนี้เรากำลังคิดเรื่องจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธาน สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็ปรากฏกับจิตที่กำลังเห็น กำลังรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่นี่ขั้นคิด เพราะฉะนั้นจะต้องมีการอบรม ที่ใช้คำว่า “ภาวนา” คืออบรมที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้ยินได้ฟังจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ถ้าเป็นอย่างนี้เราก็รู้ประโยชน์ของการฟังการศึกษา เพราะว่าพื้นฐานที่เราเข้าใจจะทำให้เราสามารถเข้าใจข้อความในพระไตรปิฎกได้ตรงตามฐานะหรือตามพื้นฐานที่เราเข้าใจ ไม่ผิด
ที่มา ...