ความเข้าใจเพิ่มเพราะการไตร่ตรอง


    ผู้ฟัง จากการฟังก็หมายความว่าการอบรมก็เท่ากับว่าเป็นการฟังไปเรื่อยๆ เข้าใจแค่ไหนก็เข้าใจเท่านั้น ไม่ใช่ให้เราไปนั่งเข้าใจมากกว่านั้น ต้องยอมรับความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าเข้าใจแค่นี้แล้วจะไปนั่งคิดให้เข้าใจมากกว่านั้น แต่ถ้าเราไตร่ตรองแล้วมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยนั่นคือความเข้าใจเพิ่มเพราะการไตร่ตรอง ไม่ใช่ให้ไปทำอย่างอื่น แฃะบางคนบอกว่าสติปัฏฐานยังไม่เกิดก็ไปทำกุศลอื่น ก็ไปทำกุศลอื่นเพื่อให้สติปัฏฐานมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ส่วนใหญ่ก็เข้าใจอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เขาก็คิดว่าต้องมีทาน แล้วต้องมีศีล แต่ขณะใดก็ตามที่ให้ทานด้วยความไม่เข้าใจ ขณะนั้นสติสัมปชัญญะจะเกิด และรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ไหม ก็ไม่ได้ ก็เป็นทานไปเรื่อยๆ ขณะที่วิรัติทุจริตแต่ไม่มีความเข้าใจว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา สภาพธรรมจริงๆ ก็มีนามธรรมกับรูปธรรมในขณะนั้น ขณะที่ไม่เข้าใจเช่นนี้ขณะนั้นก็เป็นศีล โดยหวังว่าทานกับศีลที่ไม่มีความเข้าใจจะทำให้สติปัฏฐานเกิดนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่ขณะที่กำลังฟัง และเข้าใจเห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล กุศลเป็นกุศล แล้วกุศลอื่นๆ ทั้งหลายจะเจริญขึ้นไหม ไม่ใช่แค่ขั้นทานขั้นศีล ความอ่อนน้อม การกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่น หรือการที่จะสละวัตถุให้กับบุคคลอื่น การช่วยเหลือบุคคลอื่นจะเป็นไปด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ทำด้วยความหวังว่า ทำเพื่อจะให้เป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิด และขณะใดที่สติปัฏฐานเกิด อธิศีลสิกขายิ่งกว่า ละเอียดยิ่งกว่าศีลที่เกิดแล้ววิรัติ มีความโลภเกิดขึ้นแต่วิรัติการกระทำทุจริต ถึงขณะที่จะวิรัติการกระทำทุจริต แต่เพียงความไม่พอใจหรือความพอใจเล็กน้อย สติสัมปชัญญะสามารถที่จะรู้ลักษณะนั้น และก็ศึกษา และเข้าใจว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรม ไม่ต้องใส่ชื่อเลยเพราะว่าเมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ก็คือไม่ใช่เรา แต่มีลักษณะเฉพาะอย่าง แต่ละอย่างที่กำลังเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขณะนั้นยิ่งกว่าศีลธรรมดา เพราะเป็นอธิศีลสิกขา ศีลนี่ อกุศลเกิดมากมายแล้วก็วิรัติ แต่นี่แม้เพียงขณะแล้วแต่ว่าจะมากจะน้อยอย่างไร สติสัมปชัญญะก็สามารถที่จะเกิดแล้วรู้ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ศีลปกติธรรมดาก็ยังเป็นมหาทาน เพราะเหตุว่าเป็นการวิรัติ การเว้นการเบียดเบียนชีวิตของบุคคลอื่น

    เพราะฉะนั้นกุศลมีหลายระดับ แต่ทั้งหมดเป็นไปด้วยความเข้าใจจึงจะไม่ใช่เรา มิฉะนั้นก็เป็นเราที่ขวนขวาย และพยายามทำทุกอย่างด้วยความเป็นเรา แล้วจะสละความเป็นเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นมีปัญญาเท่านั้นที่จะค่อยๆ เจริญขึ้น ค่อยๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรมจนสามารถที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏไม่ว่า ณ ที่ใด และไม่ว่าสภาพธรรมนั้นเป็นอะไร ถ้าไม่เช่นนั้แล้วก็เป็นเราด้วยความไม่รู้ต่อไป

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 100


    หมายเลข 7607
    22 ม.ค. 2567