พูดถึงธรรมอย่างย่อ ละเอียด หรือละเอียดถึงขณะจิตก็ได้


    ผู้ฟัง ครั้งแรกที่เราได้ยิน ได้กลิ่น ได้เห็น เป็นวิบากจิต ใช่ไหม แล้วหลังจากนั้นถึงจะเป็นชวนจิต

    ท่านอาจารย์ การพูดถึงธรรมเราจะพูดถึงอย่างย่อมากๆ ก็ได้ หรืออย่างละเอียดขึ้นนิดหน่อยก็ได้ หรืออย่างละเอียดเป็นแต่ละขณะจิตก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าโดยนัยของพระสูตร เราจะเห็นได้ว่าทรงแสดงว่า เมื่อเห็นแล้วก็จะมีความพอใจไม่พอใจในสิ่งที่เห็น ขณะนี้เราพิจารณาว่าอย่างย่อคือขณะนี้หลังเห็นแล้ว เราก็จะมีความพอใจติดข้องในสิ่งที่เห็นหรือไม่พอใจหรือเป็นกุศลก็ได้ นี่คืออย่างย่อ แต่ถ้าละเอียดขึ้น เราจะพูดว่าขณะเห็นเป็นวิบากคือเป็นผลของกรรม ทำให้ต้องเห็น ไม่เห็นไม่ได้ กรรมทำให้กายปสาท จักขุปสาท โสตปสาทซึ่งเป็นรูปที่สามารถจะกระทบกับอารมณ์เฉพาะทางนั้น เพราะฉะนั้นผลของกรรม ก็คือไม่ใช่เพียงเกิดแล้วก็เป็นภวังค์ โลกนี้ไม่ได้ปรากฏ อะไรก็ไม่ได้ปรากฏ เพียงเท่านั้นไม่พอ แต่ก็ยังมีวาระที่กรรมจะให้ผลทำให้เกิดเห็นขึ้น เป็นผลของกรรม

    เพราะฉะนั้น ต้องทราบว่าไม่ว่าจะเห็นอะไรที่ไหน ขณะใด เป็นใครก็ตาม เป็นนกเป็นแมวเป็นอะไรก็ตาม เราไม่พูดถึงรูปร่างเลย พูดถึงเฉพาะจิตที่เห็นเป็นวิบากเป็นผลของกรรมนี่คืออย่างย่อ แต่เมื่อเห็นแล้ว เป็นวิบากแล้วจากนั้นก็เป็นกุศลหรืออกุศลซึ่งไม่ใช่วิบากเริ่มเป็นเหตุใหม่ กรรมใหม่ ที่จะทำให้เกิดผลข้างหน้า นี่คือกว้างออกมาอีกนิดหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ละเอียดกว่านั้นคือเวลาที่เป็นปฏิสนธิจิตดับ ภวังคจิตเกิดสืบต่อ เห็นอะไรหรือไม่ ละเอียดขึ้น แม้ขณะนี้ก็มี แต่ว่าเราจะไม่กล่าวถึงขณะนี้

    ผู้ฟัง ปฏิสนธิแล้วมีภวังค์แล้วถึงจะเห็น

    ท่านอาจารย์ นาน ก็แล้วแต่ว่าภพชาติเกิดที่ไหน เกิดเป็นเทวดา ก็พร้อมเลยตา หู จมูก ลิ้น กาย ผุดขึ้นมาครบ แต่ถ้าอยู่ในครรภ์ก็อีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละกำเนิด เพียงให้ทราบว่าหลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับแล้วต้องเป็นภวังค์ ดำรงภพชาติเพื่อวิบากจิตจะเกิด แต่ตอนที่วิบากจิตจะเกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กำลังเป็นภวังค์อยู่ไม่มีทางที่วิบากจิตจะเกิดทันทีได้ ต้องมีปสาทรูปซึ่งกรรมทำให้ปสาทรูปนั้นเกิดดับทุกอนุขณะของจิต ใครก็บังคับไม่ได้

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 102


    หมายเลข 7656
    22 ม.ค. 2567