การเกิดดับสืบต่อของจิตเป็นไปแต่ละขณะจะไม่ปนกัน
อ.ธีรพันธ์ จะเห็นได้ว่าขณะที่มีวิถีจิตเกิดขึ้นก็จะเริ่มจากปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นขณะแรกที่เป็นวิถีแรก คือรำพึงถึงอารมณ์ ขณะนั้นยังไม่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น หรือลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่รำพึงถึงอารมณ์เท่านั้น แต่ว่าจิตที่ทำกิจเห็นหรือได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะจริงๆ ก็คือขณะที่เป็นทวิปัญจวิญญาณเท่านั้น เช่น จักขุวิญญาณในขณะที่เกิดทางตาดับไปแล้ว หลังจากนั้น สัมปฏิจฉันนจิตรับรู้อารมณ์นั้นต่อ รู้สีนั้นต่อ รับโดยการรู้สีต่อ เมื่อสัมปฏิจฉันนะดับไปแล้ว สันตีรณะพิจารณาอารมณ์คือพิจารณาสี แล้วโวฏฐัพพนจิตเกิดสืบต่อเป็นชาติกิริยา เป็นอเหตุกะ ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย หลังจากโวฏฐัพพนจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้ชวนวิถีจิตเกิดขึ้นสืบต่อมีเหตุเกิดร่วมด้วย ถ้ายังไม่กล่าวถึงพระอรหันต์ แต่กล่าวถึงบุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ในชวนะจะมีเหตุเกิดร่วมด้วย กุศลก็ตามหรืออกุศลก็ตาม เพราะฉะนั้น การศึกษาทำให้ทราบว่าขณะที่เห็นจริงๆ คือขณะที่เป็นจักขุวิญญาณเท่านั้นเอง หลังจากนั้นจิตเป็นชวนวิถีเกิดสืบต่อมาแล้ว ขณะนั้นไม่ได้เห็นแต่ทำกิจแล่นไปในอารมณ์ เพราะฉะนั้นทำให้ทราบว่าขณะที่แล่นไปในอารมณ์ขณะนั้นไม่เห็น ทำให้เห็นว่าการเกิดดับสืบต่อของจิตเป็นไปแต่ละขณะ จะไม่ปนกันจริงๆ จะทำกิจหน้าที่ต่างกันแต่ละขณะๆ เท่านั้นเอง
ที่มา ...