เราติดข้องในสิ่งที่ปรากฏในชีวิตประจำวันมากมาย
เพราะฉะนั้น เมื่อถึงปัญจทวาราวัชชนะเป็นกิริยาจิตดับไปแล้ว ปัญจวิญญาณเกิดต่อ สัมปฏิจฉันนวิบากจิตเกิดต่อ สันตีรณวิบากจิตเกิดต่อ โวฏฐัพพนกิริยาจิตเกิดแล้วก็หลังจากนั้นก็กุศลจิตหรืออกุศลจิตสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็เกิดต่อ ก็แสดงให้เรารู้ว่าเราติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มากมายแค่ไหนในวันหนึ่งๆ เพราะว่าทุกคนแสวงหาสิ่งที่จักขุวิญญาณเห็น โสตวิญญาณได้ยิน ฆานวิญญาณได้กลิ่น ชิวหาวิญญาณลิ้มรส กายวิญญาณสัมผัสกระทบสิ่งที่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราติดในภพภูมินี้อย่างมากก็คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เมื่อมีการเห็นแล้ว จะพอใจหรือไม่พอใจก็แล้วแต่การสะสม นี่ก็แสดงให้เห็นว่าแม้ความรู้สึกชอบในสิ่งหนึ่งสิ่งใด โลภมูลจิต ๗ ขณะดับไปแล้วสืบต่อจากวันก่อนจนถึงวันนี้ เมื่อวานนี้ชอบอะไรไว้ หลังจากที่ลิ้มรสแล้ว วันนี้ก็ยังคิดถึงชอบอยู่ แม้ว่าสิ่งนั้นจะหมดไปแล้วดับไปแล้ว ไม่มีแล้วก็ยังพอใจ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าตลอดชีวิตความสำคัญอยู่ที่ว่าเราติดข้องในสิ่งที่เราเห็น เราได้ยิน ซึ่งเป็นเพียงชั่ววิบากจิตเป็นผลของกรรมเท่านั้นเอง แต่ก็ไปติดในสิ่งที่ได้รับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ที่มา ...