ความสำคัญตนเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งจะต้องขัดเกลาหรือไม่ -พฐ.104


    ผู้ฟัง คนที่เกิดมาทุกคนเป็นตัวเอง มีความสำคัญ นี้ก็เป็นประการหนึ่งซึ่งเราจะต้องขัดเกลาใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเลย กิเลสทั้งหมด อกุศลเจตสิกทั้ง ๑๔ ประเภท

    ผู้ฟัง กิเลสก็มาจากความเป็นตัวตนก่อน โดยเฉพาะความสำคัญตน อะไรๆ ต่างๆ ก็จะตามมาทั้งหมด ความเป็นตัวตนในขั้นพื้นฐาน แต่ปัญญายังน้อยนิดอยู่อย่างนี้ จะระลึกอยู่ตลอดเวลาได้อย่างไรว่า นี่คือเราในขณะจิตใด

    ท่านอาจารย์ ชีวิตประจำวันมีการให้บ้างหรือไม่ มี เป็นเราหรือไม่ ทุกคนก็ยืนยันว่า แม้ฟังแล้วว่าเป็นธรรม แต่ว่าถ้าฟังแล้วรู้ว่าเป็นสติระดับหนึ่ง เราหวังสติระดับไหนกันในขณะที่กำลังฟังธรรม เพราะว่าสติเจตสิกเป็นโสภณเจตสิกเกิดกับโสภณจิตทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิตประเภทใดก็จะต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย วันหนึ่งๆ ติดข้องจนไม่ได้คิดถึงเรื่องการให้เลย นั่นคือการสั่งสมของอกุศลประเภทโลภะ ต้องการทุกอย่างเพื่อตัว เมื่อไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าไม่มีอะไรเหลือเลย ทุกขณะมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไปเลย ไม่กลับมาอีกเลยกี่ภพกี่ชาติก็คืออย่างนี้ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จะคลายความติด แต่เพียงขั้นคิดนึก และขั้นฟัง ยังไม่สามารถที่จะดับได้จริงๆ นี่ก็เป็นสติระดับหนึ่งซึ่งก็ยากที่จะเกิด วันหนึ่งคิดถูกอย่างนี้จะเกิดกี่ครั้ง เพียงแค่คิดให้ถูก ยังไม่ต้องไปประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม เราก็จะเริ่มรู้ว่าจริงๆ แล้ว ธรรมละเอียดมาก แม้แต่ทางฝ่ายของกุศล สติซึ่งเป็นโสภณเจตสิกก็มี ในขณะที่กำลังฟังก็เป็นสติ เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่สติที่เป็นโสภณที่เกิดร่วมกันกับโสภณเจตสิกอื่นๆ แล้วจะฟังไหม ก็ไม่ฟัง เพราะฉะนั้นกุศลทุกระดับต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยพร้อมกับโสภณเจตสิกอื่นๆ ไม่ใช่สติอย่างเดียว ในขณะที่ให้ทาน ถ้าเข้าใจระลึกได้ในขณะนั้นจากการฟังก็รู้ว่าขณะนั้นสภาพที่ระลึกเป็นไปในทานก็ไม่ใช่เรา แต่ว่ากว่าจะรู้ก็ต้องอาศัยการฟังจนกระทั่งค่อยๆ ซึมซับความรู้ที่เป็นอนัตตา จนกระทั่งสามารถที่จะถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าทุกท่านที่ฟังวันนี้ ก็อยากจะให้ทุกท่านได้เป็นพระอรหันต์หรือพระโสดาบันเสียภายในชาตินี้ ไม่ใช่เลย เพียงแต่ว่าฟังแล้วเข้าใจ ขณะที่เข้าใจก็ต้องรู้ด้วยว่าไม่ใช่ตัวตน บางคนก็บอกว่าเพียงขั้นทานศีลในชีวิตประจำวันซึ่งสติปัฏฐานยังไม่เกิด เขาก็พยายามที่จะให้เป็นไป ให้ทำทานมากๆ ให้รักษาศีลเพื่อที่จะให้สติสัมปชัญญะเกิด เพื่อที่จะให้รู้ลักษณะของสภาพธรรม รอวันนั้นด้วยการคิดว่าจะให้ทานกับรักษาศีลก่อน แต่ว่าตามความเป็นจริงทานการให้ ก่อนการฟังธรรมมีไหม มี แต่เป็นเรา ศีล การวิรัติทุจริตต่างๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่พูดคำหยาบเหล่านี้ก็มีในชีวิตประจำวัน แต่ก็ยังเป็นเรา ซึ่งหลังจากที่ทรงแสดงพระธรรมแล้ว ศีลที่เคยมีก็เป็นศีลวิสุทธิ แล้วเรายังคงจะปล่อยให้เป็นศีลธรรมดาๆ ที่เคย แล้วก็รอว่าวันไหนที่จะมีสติสัมปชัญญะเกิดที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ในเมื่อเราเข้าใจแล้วก็มีปัจจัยที่จะทำให้แม้ในขณะที่เป็นการวิรัติทุจริตหรือขณะที่ให้ทาน ขณะนั้นก็มีปัญญาเกิดร่วมด้วยที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นี่คือจุดประสงค์ของการฟังให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมซึ่งเป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่ว่าความจริงที่เกิดจากการฟังแล้วเข้าใจจะสะสมไว้มากน้อยเท่าไหร่ เราจะเห็นความเป็นอนัตตาว่าจะมีปัจจัยให้เกิดคิดถูก เพียงแค่คิดก่อน หรือว่าถึงขั้นที่สติสัมปชัญญะเกิด แล้วก็จะมีการเข้าใจสภาพธรรมละเอียดขึ้นได้ แต่ให้ทราบว่าไม่ควรที่จะคิดว่าเราจะให้มีทาน มีศีลมากๆ รอคอยการที่สติปัฏฐานจะเกิด แต่ควรที่จะรู้ว่าเมื่อเข้าใจแล้วไม่ว่าขณะที่ให้ทาน ขณะที่วิรัติทุจริตหรือเป็นศีล ขณะนั้นก็วิสุทธิด้วยความเห็นที่ถูกต้องเมื่อเข้าใจลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนได้ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปตามปกติ

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 104


    หมายเลข 7695
    22 ม.ค. 2567