วิบากตอนไหน ทำกรรมตอนไหน รับผลของกรรมตอนไหน


    ผู้ฟัง วิบากเกิดก่อน แล้วเมื่อไหร่ถึงจะทำกรรมใหม่เพื่อให้เกิดวิบากใหม่ แล้วเรารับกรรมเมื่อไหร่

    ท่านอาจารย์ ต้องทราบตั้งแต่ขณะเริ่มต้นก่อน ขณะนั้นยังไม่มีอุบัติเหตุอะไรทั้งหมด การที่อุบัติขึ้นในโลกนี้ได้เพราะว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้นกัมมปัจจัยเป็นปัจจัยให้จิตที่เป็นวิบากเกิด ถ้าได้ยินว่าจิตใดเป็นวิบากให้ทราบว่าเป็นผลของกรรมหนึ่งกรรมใดที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตก็จะต่างกันหลากหลาย ไม่ใช่มีเพียงเหมือนกันหมดทุกคน แล้วแต่กรรมที่ได้กระทำไว้เป็นกรรมประเภทใด ถ้าเป็นอกุศลกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ปฏิสนธิในอบายภูมิ คือ ภูมิที่ไม่เจริญด้วยกุศล ก็จะเป็นภูมินรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉานนี่เป็นอบายภูมิเป็นผลของอกุศลกรรม แต่ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็ประณีตขึ้นตั้งแต่มนุษย์ สวรรค์ขึ้นไป

    ในขณะที่เกิดขึ้น จิตมีอารมณ์ไหม มี แต่ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ ขณะจิตแรกที่เป็นวิบากทำกิจปฏิสนธิสืบต่อจากจุติของชาติก่อน อารมณ์ไม่ปรากฏเลย เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว กรรมก็ทำให้จิตประเภทเดียวกัน คือวิบากของกรรมนั้นเองเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ คือภวังค์จะเกิดสืบต่อดำรงภพชาติจนถึงจิตขณะสุดท้ายทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ แต่ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ขณะปฏิสนธิก็ดับไปแล้ว ขณะที่เป็นภวังค์คือขณะที่หลับสนิท โลกไม่ได้ปรากฏเลย อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ กุศลจิต และอกุศลจิตก็ไม่มี เพราะว่าขณะนั้นทำภวังคกิจ ดำรงภพชาติมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิ ซึ่งอารมณ์ของปฏิสนธิจิตจะต้องเป็นอารมณ์เดียวกับจิตใกล้จุติของชาติก่อน เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ จึงไม่ปรากฏ แต่กรรมก็ไม่ได้ให้ผลเพียงแค่ทำให้เกิดแล้วก็เป็นภวังค์ แค่นั้นไม่พอใช่ไหม ไม่พอ ต้องมีทางที่กรรมจะให้ผล

    เพราะฉะนั้นก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ตา คือ จักขุปสาทรูปเป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน หู คือ โสตปสาทรูปเป็นส่วนที่สามารถกระทบเสียงไม่ใช่ใบหูทั้งหมด แต่เป็นเฉพาะรูปที่มีคุณสมบัติที่สามารถกระทบกับเสียงถ้าเป็นโสตปสาท ถ้าเป็นจักขุปสาทก็สามารถกระทบกับรูป วัณณะที่มีสีสันต่างๆ ที่กำลังปรากฏทางตา ถ้าเป็นกลิ่น ฆานปสาทก็กระทบกับกลิ่น ถ้าเป็นรส ชิวหาปสาทก็กระทบกับรส ถ้าเป็นกายปสาทก็กระทบกับเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว นี่คือทางหรือทวารของวิบากที่จะเกิดขึ้นเป็นผลของกรรม ขณะนี้ยังไม่ถึงกุศล อกุศล เป็นแต่เพียงกรรมที่ได้กระทำในชาติทั้งหลายที่ได้สืบต่อมาจนถึงชาตินี้ มีโอกาสที่กรรมใดจะให้ผลก็ต้องมีทางของกรรมนั้นๆ ที่จะให้ผลทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องรู้ว่าจิตใดเป็นเหตุ กุศล อกุศล จิตใดเป็นวิบาก เพราะฉะนั้นให้ทราบว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วนานแสนนาน ก็ยังมีโอกาสที่จะให้ผลในชาตินี้โดยเห็น หรือได้ยิน หรือได้กลิ่น หรือลิ้มรส หรือรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นวิบาก ยังไม่ถึงขณะที่เป็นกุศล อกุศล ซึ่งเมื่อเห็นแล้วกุศลหรืออกุศลเกิด ไม่ใช่วิบาก ถ้ามีกำลังก็กระทำกรรมซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดวิบากต่อไป

    ผู้ฟัง ขณะที่เป็นวิบาก

    ท่านอาจารย์ เห็น แต่หลังจากเห็นแล้วเป็นกุศลหรืออกุศลซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดวิบากข้างหน้า

    ผู้ฟัง เมื่อเราขับรถมา เราก็ถูกรถชนโครม ก็ไม่ใช่จากตา จากหู จากจมูก จากลิ้น จากกาย ตรงนี้ที่อธิบายไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ถูกรถชนเห็นไหม เห็น ขณะนั้นเป็นอะไร เป็นวิบากจิต ได้ยินเสียงรถชนไหม

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นก็เป็นวิบาก เมื่อเห็นแล้วตกใจไหมที่มีการชนขึ้น

    ผู้ฟัง ตกใจ

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นเป็นโทสมูลจิตเป็นเหตุแล้ว ต้องแยกโดยละเอียดเลย ถ้าไม่มีคน ไม่มีสัตว์ก็มีรูปกับนามเท่านั้นเองที่เกิดขึ้นเป็นไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่เคยขาดนามธรรม และรูปธรรม นี่เป็นเหตุที่เราต้องรู้ชัดเจนว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน แต่มีนามธรรม และรูปธรรม

    ผู้ฟัง ตามความรู้สึกของผม อาจารย์เคยพูดหลายครั้งแล้วว่า "เห็น" ก็เป็นวิบาก "ได้ยิน" ก็เป็นวิบาก แต่พอรถชนโครม ไม่มีเห็น ก็เป็นวิบากเหมือนกันใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เวลานี้มีวิบากไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ รถยังไม่ชนเลยก็มี

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ขณะใดที่เห็นเป็นวิบาก ขณะใดที่ได้ยินก็เป็นวิบาก แต่เวลาคิดนึกเป็นเรื่องราวต่างๆ ไม่ใช่วิบาก เช่น เป็นรถชน เป็นอุบัตเหตุ เป็นใครชน รถเสียแค่ไหน นี่ไม่ใช่วิบาก

    ผู้ฟัง ถ้าเผื่อรถชนแล้วเราเจ็บ เราโกรธ เราโมโห ก็ยกปืนขึ้นมาจะยิงเขาก็เป็นกรรมสร้างวิบากอีก

    ท่านอาจารย์ รถชนเราเจ็บเป็นวิบากหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นวิบาก

    ท่านอาจารย์ โกรธเป็นวิบากหรือไม่ ตกใจโกรธ

    ผู้ฟัง ตกใจโกรธเป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ คิดว่าจะยิงเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็เป็นอกุศลอีก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องแยก เราถึงจะรู้ได้จริงๆ ว่าแท้ที่จริงแล้วก็คือกรรมเป็นเหตุให้เกิดวิบาก เพราะฉะนั้นที่ถูกรถชนแล้วเจ็บเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว พร้อมที่จะให้ผลทางกายก็ทำให้มีการกระทบกายปสาท และความรู้สึกขณะนั้นก็เป็นทุกขเวทนา เพราะฉะนั้นตัดตอนเลย วิบากคือวิบาก กุศล อกุศลก็คือกุศล อกุศล วิบากจะเป็นกุศลไม่ได้ และไม่ปนกันด้วย จริงๆ แล้วถ้าทราบว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายเป็นวิบาก ต่อจากนั้นก็เป็นกุศล และอกุศลสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าเป็นพระอรหันต์ไม่มีทั้งกุศล และอกุศลก็เป็นกิริยา

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 104

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 105


    หมายเลข 7721
    21 ม.ค. 2567