จะเป็นกุศล ต้องมีปัญญาหรือไม่
ผู้ฟัง สรุปความว่าอกุศลเกิด แล้วแต่เหตุปัจจัย กุศลจะเกิดก็เพราะเหตุปัจจัย
ท่านอาจารย์ บางคนมีกุศลได้ ทานนุปนิสัย สีลุปนิสัย ภาวนุปนิสัย มีอุปนิสัย ๓ อย่าง บางคนชอบให้ทาน แต่ไม่สนใจเรื่องวาจาของตนเองหรือกายของตัวเองด้วย พูดคำซึ่งทำให้คนฟังไม่สบายใจ เสียงแข็งกระด้าง พูดเหมือนดุ เหมือนมีอำนาจ พูดเหมือนกับเป็นนายข่มขู่อยู่ตลอดเวลา แต่ให้ทานง่ายๆ เลย เวลาที่มีใครลำบากเดือดร้อนก็มีอุปนิสัยที่จะให้ ก็เห็นการสะสมของทาน แต่ไม่ได้เห็นการสะสมของศีล และก็ไม่ได้สนใจในการฟังธรรมที่จะทำให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงด้วย เพราะฉะนั้นคนนั้นก็มีทานนุปนิสัย บางคนทานอาจจะไม่มาก แต่กาย วาจาดีมาก ไม่เคยที่จะพูดคำที่ทำให้เดือดร้อนเลย แม้แต่คนที่มีหน้าที่ ที่จะทำงานให้ เขาก็ใช้คำพูดที่น่าฟัง ทำอย่างนี้ให้หน่อยได้ไหม เห็นไหมต่างกับคนที่สั่งทันที นี่ก็แสดงให้เห็นถึงแต่ละขณะที่เป็นกุศล และอกุศล ไม่ได้หายไปไหนเลย สะสมอยู่ในจิตทั้งหมด
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นคนดีๆ ในแง่ต่างๆ ดีในเรื่องทาน ในเรื่องศีล หรือในเรื่องของความเข้าใจธรรม หรือว่าแม้แต่พระอริยบุคคล เป็นพระอรหันต์ก็ยังต่างกันตามการสะสม แต่ละท่านก็มีการสะสมเฉพาะท่าน เฉพาะที่ได้สะสมมาแล้ว นี่ก็แสดงให้เห็นว่าแล้วแต่ปัจจัย ไม่ใช่ว่ามีตัวตนอีกต่างหาก ถ้ามีตัวตนอีกต่างหากหรือเป็นเราที่ทำ ท่านจะใช้คำว่าเถียงกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่จะไม่ใช้คำนี้ก็ได้ ทะเลาะกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ เพราะว่าไม่ใช่เพียงคำเดียวแต่หลายคำ และก็บ่อยครั้งด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องซึ่งเราจะรู้ตามความเป็นจริงว่าความเห็นถูกคืออย่างไร มีมากน้อยแค่ไหน และก็จะสะสมให้มากขึ้นได้อย่างไร พระธรรมทั้งหมดเป็นเรื่องขัดเกลา แต่ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่พระธรรม ถ้าเราศึกษาธรรมเพื่อจะเอา เพื่อจะได้ เพื่อจะรู้ เพื่อจะเก่ง เพื่อจะถึง แต่ไม่ได้เพื่อละความไม่รู้เลย ไม่ได้เพื่อละอกุศลเลย นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งเห็นได้เลยว่า อะไรเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และอะไรไม่ใช่
ที่มา ...