ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ความเห็นผิดก็ยังเกิดมีได้
ถ้าจะจำแนกประเภทของอกุศลจิต ก็จะมี ๓ ประเภท คือ โลภมูลจิตประเภทหนึ่ง โทสมูลจิตประเภทหนึ่ง โมหมูลจิตประเภทหนึ่ง โมหมูลจิตไม่มีโลภเจตสิก ไม่มีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย ยังมีไหม หรือว่าหมดไปแล้ว ยังมีแน่นอน แต่ว่ารู้ยากไหม เพราะว่าขณะนั้นไม่มีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วย และก็ไม่มีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย ก็ไม่เห็นว่าขณะนั้นคือขณะไหนที่เป็นอกุศล ถ้าโทสะเกิดนี่รู้เลยใช่ไหมว่าขณะนั้นเป็นอกุศล ถ้าโลภะมากๆ ก็รู้ได้ แต่ว่าโลภะธรรมดาปกติในชีวิตประจำวันไม่สามารถที่จะรู้ได้ถ้าไม่ได้ฟังว่าขณะนั้นเป็นโลภะแล้ว
เพราะฉะนั้น สำหรับอกุศลจิตทั้ง ๓ ประเภท คือ โลภมูลจิต โทสมูลจิต โมหมูลจิต ซึ่งที่เป็นโทษมากก็คือโลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับความเห็นผิด เพราะว่าทุกคนมีโลภะถ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ๆ เท่านั้นที่ไม่มีโลภะเลย พระอนาคามีไม่มีโลภะที่เป็นไปในรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งแม้พระสกทาคามี และพระโสดาบันก็ยังมี แต่พระโสดาบันไม่มีความเห็นผิด นี่ก็แสดงว่าผู้ที่ยังไม่ใช่พระโสดาบันมีความเห็นผิด แต่ว่าโลภมูลจิตที่จะเกิดร่วมกับความเห็นผิดเมื่อไร นี้ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะเหตุว่าเป็นอกุศลจิตประเภทแรกที่จะต้องดับด้วยโสตาปัตติมรรค คือผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลจะไม่มีโลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับความเห็นผิดอีกเลย ไม่ว่าความเห็นผิดในขณะนั้นจะเกิดร่วมกับความรู้สึกเฉยๆ อุเบกขาเวทนาหรือเกิดร่วมกับโสมนัส หรือเป็นโลภมูลจิตที่มีความเห็นผิดอย่างมั่นคงที่มีกำลัง หรือว่าเป็นโลภมูลจิตที่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยที่ไม่มีกำลังเท่ากับขณะที่เป็นความเห็นผิดที่มั่นคง เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่ากว่าจะดับหรือก่อนจะดับทิฏฐิได้ ต้องรู้จักทิฏฐิตามความเป็นจริง มิฉะนั้นก็ดับไม่ได้
ที่มา ...