ขณะที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นไม่ใช่ความเห็นผิด


    แต่ถ้าขณะนั้นไม่ใช่ความเห็น แต่ก็เป็นสิ่งที่เป็นอกุศล เป็นไปตามความคิดนึก เพราะเหตุว่าเวลาที่นอนหลับสนิทไม่มีความเห็นผิด ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรหมดเลยทั้งสิ้น เวลาที่ฝันก็แล้วแต่ใครที่สะสมความเห็นผิดมาอาจจะคิดว่ากำลังฆ่าสัตว์บูชายัณเป็นการที่เราจะล้างบาปได้ หรืออะไรก็แล้วแต่ สะสมมาอย่างไรความคิดอย่างนั้นก็เกิดได้ แต่ในขณะที่มีการเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ก็ปรากฏว่าหลังจากที่เห็นแล้วรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด " รู้ " อย่าลืมเห็นแล้วรู้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นขณะนี้ ธรรมพิสูจน์ได้ทุกขณะ ขณะนี้เห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นเป็นโลภะที่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยหรือไม่ เพราะว่าขณะนี้เราจะไม่พูดถึงจิตอื่น แต่จะพูดถึงจิตที่มีทิฏฐิคือความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย ขณะที่กำลังเห็นแล้วก็รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร หลังจากที่เห็นแล้วขณะนั้นเป็นความเห็นผิดที่เป็นทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมกับจิตหรือไม่ มีผู้ที่สงสัยแล้วก็ถามว่าพระอรหันต์ท่านดับกิเลสหมดเลย ไม่มีกิเลสเกิดแล้ว แต่เวลาเห็นท่านจำได้ว่าเป็นอะไร ขณะนั้นสัญญาของท่านเป็นสัญญาความจำประเภทไหน ถ้าศึกษาแล้วก็ตอบได้ใช่ไหม เพราะว่าสัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เห็นแล้วไม่รู้ เป็นความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นจึงมีโลภะเกิดร่วมด้วยบ้าง แล้วก็มีโทสะเกิดร่วมด้วยบ้าง แล้วแต่ว่าจะมีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย หรือไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย แต่สำหรับผู้ดับกิเลสหมดอย่างพระอรหันต์ท่านก็มีสัญญาความจำ เห็นแล้วท่านก็รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นสัญญาของพระอรหันต์เป็นสัญญาที่จำอะไร ไม่มีความเห็นผิดแน่นอน นี่ก็เป็นเครื่องที่แสดงให้เห็นว่าแม้ไม่ใช่พระอรหันต์ ขณะที่มีการเห็นแล้วรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ถ้าไม่มีความเห็นใดๆ เกิดร่วมด้วย ขณะนั้นก็ไม่ใช่ทิฏฐิเจตสิก


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 123


    หมายเลข 8806
    28 ส.ค. 2567