ศึกษาเพื่อให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรม


    เพราะฉะนั้น จึงได้กล่าวว่าเวลาที่เราได้ยินคำว่า “โอฆะ” มีไหมคำนี้ในพระไตรปิฎก ห้วงน้ำเป็นกิเลส โอฆะ ๔ อะไรบ้าง ตอบได้โดยชื่อใช่ไหม กามโอฆะ เราอยู่ในกามโอฆะหรือไม่ แวดล้อมไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และก็ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะหรือไม่ เป็นอย่างนั้นอยู่ แต่ก็ไม่รู้ใช่ไหม ทิฏโฐฆะ อยู่ในห้วงน้ำของความเห็นผิดเมื่อเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่เกิดก็กามโอฆะใช่ไหม มากมาย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการศึกษาทำให้เราสามารถที่จะเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เราได้ยินได้ฟังว่าลักษณะจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร ถ้าบอกว่าเรากำลังอยู่ท่ามกลางโอฆะจริงหรือไม่ เห็นแล้วไม่รู้ความจริง ทะเลภาพทางตา จะเข้าใจความหมายของเกาะไหม ว่าสติปัฏฐานเป็นเกาะ ขณะนั้นมีลักษณะปรากฏให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องราว เป็นลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ สามารถที่จะรู้ว่าต้องเกิดจึงปรากฏ และถ้าเป็นปัญญาที่สมบูรณ์ก็ประจักษ์การเกิดดับ ก็จะค่อยๆ ถ่ายถอนละคลายความเป็นเราจนกว่าสามารถที่จะดับได้เป็นสมุทเฉท

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงก็คือให้เราเข้าใจจริงๆ ว่าเรากำลังอยู่ตรงไหน และเรามีความรู้ระดับไหน และหนทางที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์คือรู้จริงๆ ได้คืออย่างไร มิฉะนั้นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นโมฆะ ถ้าเราไม่อบรมเจริญปัญญายิ่งขึ้น ก็เท่ากับว่าฟังไปเฉยๆ ใช่ไหม แต่ว่าจริงๆ แล้วปัญญามีหลายขั้น สุตมยญาณ ปัญญาที่สำเร็จจากการฟังก็จะทำให้มีสีลมยญาณ กาย วาจาของเราก็จะเป็นไปในทางกุศลขึ้น เพราะรู้ว่าขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล นี่คือผลที่เกิดจากการเข้าใจธรรม แต่ถ้ายังไม่รู้เหมือนเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิม อะไรก็เหมือนเดิม จะว่าเราเข้าใจธรรมไหม เข้าใจเรื่องราวแต่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตาม ไม่มีสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้เห็นโทษจริงๆ ของสภาพธรรมที่เป็นอกุศล แต่ว่าถ้าฟังแล้วมีความเข้าใจจริงๆ ปัญญาซึ่งเป็นสังขารขันธ์ด้วยก็จะปรุงแต่งจนกระทั่งกุศลจิตก็เกิดเพิ่มขึ้น

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 124


    หมายเลข 8820
    26 ม.ค. 2567