อนุสัยและนิวรณ์


    ผู้ฟัง ถามว่ามิจฉามรรคที่ไม่มีองค์ธรรมมีกี่ข้อ

    อ.อรรณพ มิจฉามรรคก็คือหนทางผิด สัมมามรรคก็คือหนทางถูกซึ่งท่านแสดงมิจฉามรรคเพื่อให้เห็นว่าถ้ามีความเห็นถูก ก็มีความเห็นผิด ถ้ามีการคิดถูก ก็มีการคิดผิดอย่างผู้ที่เขามีความเห็นผิดก็จะคิดว่าการเจริญสติคือการจดจ้องในนามหนึ่งนามใด รูปหนึ่งรูปใดหรือในเรื่องหรือในความเป็นตัวตน

    ท่านอาจารย์ มีถูกกับผิดใช่ไหม ถ้าเป็นสัมมาก็คือถูก สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และก็เจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วยก็เป็นสัมมาทั้งหมด แต่ถ้าไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เข้าใจผิดไปทำอะไรก็ตามแต่ที่เข้าใจว่าขณะนั้นเป็นหนทางที่ถูก ขณะนั้นก็เข้าใจเอาเองว่ากำลังเจริญสติปัฏฐาน แต่จริงๆ แล้วก็คือโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องของความเห็นผิดก็เป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะว่าชีวิตประจำวันละเอียดมาก แสนละเอียดจริงๆ ถ้าจะกล่าวถึงประเภทของธรรมฝ่ายอกุศลก็จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ลืมตาตื่น ตอนนอนหลับไม่มีเจตสิกที่เป็นอกุศลเกิดร่วมด้วย เจตสิกที่เป็นกุศลก็ไม่เกิดร่วมด้วยเพราะขณะนั้นเป็นผลของกรรมที่ทำให้ยังไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังไม่ได้คิดนึกแต่ก็มีอนุสัยกิเลสอย่างที่ถามตอนต้นทิฏฐานุสัยก็มี กามราคานุสัยก็มี แต่ว่าขณะใดที่มีการรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างวันนี้เราตื่นมาแล้ว ความละเอียดของธรรม เรารู้ไหมว่าขณะที่เห็น อกุศลที่เป็นเจตสิกเกิดร่วมกับจิต แต่ว่าเป็นประเภทที่ไม่ได้พัวพันหรือผูกพันปรากฏอย่างลักษณะของที่เราใช้คำว่า “นิวรณ์” หรือ “นิวรณธรรม” เราตื่นขึ้นมาเราก็มีการเห็น ไม่รู้เลยว่ามีความพอใจ โลภะหรือโทสะ หรือโมหะในสิ่งที่เห็นอย่างรวดเร็ว หมดไปแล้วแต่ละขณะ นี่ไม่รู้เลย แต่พอมาถึงการแต่งตัว รับประทานอาหาร เริ่มเห็นกิเลสที่พัวพันไหม มีความต้องการเกิดขึ้นแล้วไม่ใช่เพียงแค่เห็นแล้วก็ผ่านไป เห็นแล้วก็ผ่านไป ซึ่งความจริงไม่ใช่ว่าผ่านไปโดยที่ไม่มีอกุศลเกิดเลย มีอกุศลเกิดแล้วทั้งนั้น ถ้าขณะนั้นไม่ใช่กุศล

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าธรรมที่เรากล่าวละเอียดมาก และก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่กว่าปัญญาของเราจะรู้อย่างนั้นก็จะต้องอาศัยการฟังว่าเราผ่านการเห็นมาเท่าไหร่ แล้วก็มีอาสวกิเลสประเภทกามาสว อยู่ตลอดเวลาที่พอใจ จนกว่าจะนั่งที่โต๊ะรับประทานอาหาร ตอนนี้ปรากฏแล้วเริ่มพัวพันแล้ว ช้อมส้อม อาหารบนโต๊ะปรากฏลักษณะที่ไม่เหมือนกับเห็นแล้วผ่านไป เห็นแล้วผ่านไป นี่ก็คือความต่างกันของระดับขั้นของอกุศลจนกระทั่งถึงการมาฟังธรรม ต่างขณะแล้วแต่ต้องมีปัจจัยที่สะสมมาเพราะว่าขณะที่หลับสนิทไม่ใช่มีแต่ที่เป็นอกุศลที่เป็นอนุสัย ยังมีอาสย กุศลทั้งหลายด้วยที่ได้สะสมมา มิฉะนั้นก็ไม่มีการเห็นประโยชน์แม้แต่การจะได้ฟังสิ่งที่ฟังแล้วก็ฟังอีก ฟังวิทยุก็ฟังแล้วก็ยังต้องฟังอีก เพื่อที่จะได้เข้าใจเพิ่มขึ้นอีก

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 125


    หมายเลข 9123
    26 ม.ค. 2567