โลภะ ทิฏฐิ มานะ
อ.อรรณพ สภาพเจตสิกกระทำซึ่งบางอย่างก็เกิดร่วมกัน บางอย่างก็ไม่สามารถเกิดร่วมกันได้ แม้กระทั่งว่าจะเป็นโลภะเหมือนกัน
อ.วิชัย ถ้าเราพิจารณาถึงความจริงว่าขณะนั้นกำลังมีความสำคัญตนอยู่จะมีทิฏฐิได้ไหม หรือขณะที่มีความเห็นผิดจะมีความสำคัญตนได้ไหม ก็เรียนถามท่านอาจารย์ว่าทำไมไม่เกิดพร้อมกัน
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วก็เป็นสิ่งที่ละเอียดมากเพราะว่าเหมือนกับขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ ขณะที่ได้ยินเดี๋ยวนี้ ก็คงจะมีคำถามสำหรับคนที่ไม่เคยฟังเลยว่าน่าจะเกิดพร้อมกันิแต่ว่าทำไมไม่เกิดพร้อมกันเพราะว่าเป็นจิตต่างขณะ และอีกประการหนึ่งก็คือว่าสำหรับทิฏฐิ พระโสดาบันบุคคลดับ เพราะฉะนั้นถ้าทิฏฐิกับมานะเกิดร่วมกัน แล้วก็มานะยังไม่
ได้ดับใช่ไหม แต่ว่าทิฏฐิดับด้วยโสตาปัตติมรรค แต่มานะก็ยังเกิดต่อไปจนกว่าอรหัตตมรรคเกิดเมื่อไหร่ เมื่อนั้นมานะจึงจะดับได้ นี่ก็เป็นส่วนที่ได้แสดงไว้โดยความละเอียดว่าจิตขณะหนึ่งจะประกอบด้วยเจตสิกต่างกันอย่างไร สำหรับโลภมูลจิตก็จะมีเจตสิกอื่นๆ เกิด ผัสสเวทนาแล้วก็มีโลภะ มีโมหะ นั่นก็เป็นพื้นธรรมดาในวันหนึ่งๆ ซึ่งขณะนั้นก็ไม่ได้มีทิฏฐิหรือมานะเกิดด้วย แต่เวลาที่มีความสำคัญตนเกิดขึ้นในขณะนั้นเราจะรู้ได้ในลักษณะของความสำคัญตน ซึ่งจริงๆ แล้วลักษณะของทิฏฐิความเห็นผิดแยกเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากความสำคัญตน เพราะว่าในขณะที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วก็ไม่มีทิฏฐิใดๆ เลยก็ได้ ไม่ได้หมายความว่าเมื่อไม่มีความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมแล้วต้องมีทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วย แสดงให้เห็นว่าทิฏฐิเจตสิกที่เรากล่าวถึงเรากล่าวตามที่เราได้ยินได้ฟัง หรือว่าจะกล่าวถึงผัสสเจตสิกหรือเวทนาเจตสิกก็กล่าวตามที่ได้ยินได้ฟัง แต่ลักษณะจริงๆ ของสภาพนั้นซึ่งไม่ใช่เรา เป็นธรรมหรือจะพูดอีกคำหนึ่งง่ายๆ ก็คือเป็นสิ่งที่มีจริง อย่างความรู้สึกโทมนัสเกิดขึ้น ขณะนั้นจริงแน่ใช่ไหม แต่เป็นเราที่กำลังไม่สบายใจเลย มีความทุกข์ มีความเดือดร้อนต่างๆ ทั้งๆ ที่เวทนาความรู้สึกก็เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็กำลังเกิดด้วย แต่ความไม่รู้ก็ทำให้ยึดถือสภาพธรรมนั้นด้วยแล้วแต่ว่าจะเป็นวิปลาสประเภทใด เพราะว่าวิปลาสมีถึง ๑๒ นี่ก็เป็นความละเอียดซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ว่าเราจะกล่าวถึงธรรมแต่ตัวจริงๆ ของธรรมเราไม่รู้ อย่างแม้โทมนัสเวทนาเกิด แต่ขณะนั้นไม่รู้ว่าเป็นแต่เพียงลักษณะของจริงอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับแข็งขณะนี้ ทุกคนกำลังกระทบแข็งจริง จะได้รู้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง และสิ่งที่จริงเป็นธรรม เห็นขณะนี้จริง
เพราะฉะนั้นเราจะต้องค่อยๆ เข้าใจลักษณะจริงๆ แล้วก็รู้ว่าลักษณะที่จริงเป็นธรรม นี่คือการสามารถเข้าใจในสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังด้วยลักษณะที่มีจริงๆ ไม่ใช่เพียงขั้นเรื่องราวเท่านั้น เพราะฉะนั้นตามเรื่องราวที่เราได้ทราบก็คือว่าเวลาที่มีโลภเจตสิกเกิด ก็จะเป็นความยินดีพอใจประ การหนึ่งประการใดโดยไม่มีทิฏฐิความเห็นใดๆ เกิดร่วมด้วยได้ หรือบางกาลก็มีการสำคัญตนเกิดร่วมด้วยได้ แต่ทั้งโลภะซึ่งขณะนี้อาจจะกำลังมีก็ได้เวลาได้ยินเสียง หรือว่าไม่ว่าจะเป็นทิฏฐิความเห็นผิดหรือไม่ว่าจะเป็นมานะ หรือไม่ว่าจะเป็นเจตสิกธรรมใดๆ ก็ตาม จะรู้จริงๆ เมื่อสติปัฏฐานหรือสติสัมปชัญญะกำลังรู้ตรงลักษณะนั้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราก็จะกล่าวตามว่าปกติธรรมดาก็มีโลภะซึ่งไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย และไม่มีมานะเกิดร่วมด้วย แต่เมื่อไหร่ที่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย แล้วมีสติสัมปชัญญะที่จะรู้ตรงลักษณะที่เป็นธรรม ขณะนั้นก็จะรู้ได้ว่าลักษณะนั้นไม่ใช่ลักษณะขณะที่มีความสำคัญตนซึ่งเป็นคนละขณะ
ที่มา ...