ต้องเข้าใจ ไม่ใช่คิดเอง


    อ.อรรณพ ทิฏฐิที่เป็นอาสวะก็คงจะละเอียด

    ท่านอาจารย์ ตัวอย่างก็คงใกล้ตัวที่สุดก็คงจะดีใช่ไหม มิฉะนั้นเราก็ไปคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว สงสัยว่าเป็นยังไง ขณะนี้ก็เห็นมีหลายท่านที่กำลังจดหรือเขียน ก็ขอถามว่าขณะที่กำลังเขียนมีทิฏฐิเจตสิกมีความเห็นผิดใดๆ เกิดร่วมด้วยหรือเปล่า ไม่มี นี่คือความถูกต้อง บางท่านก็ลูบผม ขณะที่กำลังลูบผมมีทิฏฐิเกิดร่วมด้วยไหม ก็ไม่มี นีก็เป็นเพียงตัวอย่างในชีวิตประจำวันที่จะให้รู้ว่าขณะใดมีทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วย และขณะใดไม่มี เพราะฉะนั้นปกติธรรมดาของการเคลื่อนไหว หรือการทำกิจการงานต่างๆ หรือความคิด เช่นขณะที่กำลังอ่านหนังสือ ขณะนั้นมีทิฏฐิเกิดร่วมด้วยไหม ก็ไม่มี นี่ก็เป็นที่เข้าใจในเรื่องของโลภมูลจิตซึ่งไม่มีทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วย และไม่มีมานะเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ว่าในบางกาลเราอาจจะไม่รู้สึกเลยว่าเรานี่มีความสำคัญตน เพราะว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมเราก็จะรู้เพียงลักษณะของจิตที่หยาบกระด้าง ขณะนั้นไม่เป็นสุขแน่นอน แต่แม้กระนั้นก็ทรงแสดงไว้ว่ามานะไม่ได้เกิดกับโทสมูลจิตหรือโทมนัสเวทนา ความละเอียดที่ต้องแยกว่าขณะใดที่มีความสำคัญตน ขณะนั้นความรู้สึกจะต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดคืออุเบกขา อทุกขมสุข หรือโสมนัสในความเป็นเรา เพราะว่าเราด้วยทิฏฐิก็ได้ ด้วยมานะก็ได้ ด้วยตัณหาคือโลภะก็ได้

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าแม้เป็นเรื่องของมานะซึ่งเป็นลักษณะของอกุศลที่กระด้าง แต่แม้กระนั้นความรู้สึกที่เกิดร่วมด้วยก็เป็นอุเบกขาหรือโสมนัส ถ้าคิดถึงว่าเราดีเป็นยังไง เรานี่ดี เวทนาเป็นยังไง โสมนัสใช่ไหม เราดี เราก็ต้องดีใจใช่ไหมว่าเราดี ขณะนั้นคือความสำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่เราว่าเป็นเรา มีโลภะในความเป็นเรา คิดว่าเราดี แต่เวลาที่บอกว่าเราไม่ดี เป็นยังไง โทสะ แต่ต้องไม่ลืมว่ามานะไม่เกิดกับโทสมูลจิต ธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ถ้าไม่ใช่การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนก็สับสนหมด ธรรมตามใจชอบ แต่ว่าเวลาที่ศึกษาแล้วก็จะเห็นพระปัญญาคุณที่ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง และก็ทรงแสดงไว้ด้วยว่าการจะรู้จริงก็คือลักษณะของสภาพธรรมกำลังปรากฏ แล้วก็รู้ว่าสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมคือมีจริงๆ แต่ถ้าสิ่งใดไม่มีจริงขณะนั้นเราก็ไม่สามารถที่จะไปรู้ความจริงของสิ่งที่ไม่มีการเกิดขึ้น ไม่มีการดับไปได้

    เพราะฉะนั้นในขณะที่ฟังก็ให้รู้ว่าลักษณะของสภาพธรรมที่กล่าวถึงมีจริง และจริงในขณะที่เกิดปรากฏ ถ้าขณะนี้ไม่มีมานะจะให้ไปรู้ลักษณะของมานะเป็นไปไม่ได้ ถ้าขณะนี้ไม่มีทิฏฐิ เราก็กล่าวเรื่องทิฏฐิแต่เวลาที่ทิฏฐิเกิดไม่รู้ นี่ก็คือการที่เราจะเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมเป็นเรื่องที่จะต้องอบรมด้วยความเห็นถูก ความเข้าใจถูก อย่าเพียงคิดว่าชื่อเป็นอย่างนี้เรื่องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ แต่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้จริงๆ แต่ว่าจะต้องมีพระธรรมนำทางที่จะต้องมีความเข้าใจในพระธรรมที่ทรงแสดงยิ่งขึ้น ไม่ใช่คิดเอง

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 128


    หมายเลข 9139
    26 ม.ค. 2567