โลภะติดข้องปรมัตถธรรมได้
ผู้ฟัง โลภะเขาก็รู้ปรมัตถธรรมได้ อยากให้อธิบายว่าแตกต่างกับกุศลอย่างไร ที่รู้ปรมัตถธรรม
ท่านอาจารย์ โลภะเป็นสภาพที่ติดข้อง เพราะว่ามีความไม่รู้ในความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้นจะเป็นกุศลไม่ได้เลย
ผู้ฟัง โลภะที่เป็นปรมัตถธรรมหรือเป็นสติปัฏฐาน
ท่านอาจารย์
ผู้ฟัง ชอบหลายสี
ท่านอาจารย์ ยกตัวอย่างได้ไหม หลายสีนี่ไม่ผิด คงจะไม่มีใครชอบสีเดียว เช่นสีอะไร
ผู้ฟัง สีชมพู
ท่านอาจารย์ ชอบสีชมพู ขณะนั้นมีจิตเห็นเกิด และก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่โลภเจตสิกไม่ได้เกิดกับจิตเห็นเลย จิตเห็นต้องดับไปเสียก่อนแล้วก็จิตอื่นเกิดสืบต่อจนกระทั่งถึงกาลที่โลภมูลจิตจะเกิดขึ้นก็ยังคงมีสีที่ยังไม่ได้ดับนั่นเองเป็นอารมณ์ ด้วยเหตุนี้ก็จึงกล่าวว่าโลภะเป็นสภาพที่ติดข้องไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา สีสันวัณณะต่างๆ เสียงปรากฏทางหู อะไรก็ตามที่เกิดปรากฏ โลภะติดข้องหมด ไม่เว้น นอกจากสิ่งที่ไม่เกิดเช่นนิพพาน และโลกุตตรจิต ซึ่งโลภะไม่สามารถที่จะไปติดข้องในสภาพธรรมนั้นได้ นอกจากนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายโลภะชอบหมด ติดข้องหมด จริงหรือเปล่า ลักษณะที่ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏคือลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งสภาพธรรมอย่างอื่นจะทำกิจนี้ไม่ได้เลยคือติดข้อง เวลาที่ผ่านหมดสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กายดับแล้ว ยังจำได้ถึงสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวอะไรต่างๆ ก็ตาม โลภะก็สนุกสนานเพลิดเพลินติดข้องไปกับเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าเป็นเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏเวลาที่คิดนึก ขณะนั้นก็คือโลภะติดข้อง เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าโลภะสามารถที่จะติดข้องในปรมัตถธรรมก็คือว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม โลภะก็ติดข้องในสีสันวัณณะที่ปรากฏ แต่ไม่ใช่กุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา ขณะนั้นก็จะมีความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่จะมีเฉพาะปัญญาเจตสิกเกิดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย และสติเจตสิกที่เกิดร่วมกับปัญญาที่สามารถจะเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ใช่สติขั้นฟังหรือว่าขั้นคิด เพราะเหตุว่าขั้นฟังขั้นคิดก็รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ ส่วนใหญ่เวลาที่กุศลจิตไม่เกิด จิตก็เป็นอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใดคือจะเป็นโลภมูลจิต หรือว่าจะเป็นโทสมูลจิต หรือว่าจะเป็นโมหมูลจิต ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม โลภะจะติดข้องอะไรได้ไหมถ้าไม่มีเลย เพื่อให้เข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ รู้เลยว่าขณะนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏ ไม่ต้องให้คนอื่นวัด ไม่ต้องให้คนอื่นบอก แต่ว่าเริ่มที่จะเข้าใจถูกว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาจริง ธรรมจริงๆ กำลังปรากฏสิ่งที่มีจริง ถ้าเริ่มเข้าใจอย่างนี้ทีละเล็กทีละน้อยก็จะคล้อยตามความเป็นจริงว่าเป็นสภาพธรรมซึ่งไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ในสิ่งที่ปรากฏเลย นอกจากความทรงจำในสีสันวัณณะแล้วก็คิดยึดถือว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเป็นอย่างนี้มาตลอด แล้วเมื่อไหร่ที่จะคลายความไม่รู้ เริ่มเข้าใจถูกในลักษณะสิ่งที่ปรากฏจนกว่าที่จะสามารถประจักษ์แจ้งจริงๆ ในความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกุศลต่างกับขณะที่ไม่รู้ซึ่งเป็นอกุศล
ที่มา ...