อบรมเจริญปัญญาเพื่อให้รู้ความจริง


    สะสมความเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏจากขั้นฟังจนกระทั่งขณะที่กำลังเห็นก็กำลังค่อยๆ เข้าใจ นั่นคือสติปัฏฐานหรือสติสัมปชัญญะซึ่งจะนำไปสู่การประจักษ์แจ้งซึ่งเป็นปัญญาที่รู้แจ้งจริงๆ ที่เป็นวิปัสสนาญาณจนถึงปฏิเวธ แต่ยังไงก็ตามเราก็เป็นผู้ที่รู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ และก็กำลังฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏให้เข้าใจขึ้น ทางตาทางเดียวนี่พิสูจน์ได้เลย เราได้ยินได้ฟังว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นธาตุๆ คือสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้สิ่งนี้กระทบกับจักขุปสาท ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้สิ่งนี้ปรากฏ ถ้าจักขุวิญญาณจิตเห็นไม่เกิด นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราจะต้องมีความเข้าใจให้ละเอียดขึ้น ขณะนี้แม้แต่คำว่ารูปธาตุเราทราบว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้มีจริงๆ ลักษณะนี้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้จะเปลี่ยนเป็นหวาน จะเปลี่ยนเป็นเสียง จะเปลี่ยนเป็นแข็งไม่ได้เลย นี่เป็นลักษณะเฉพาะของธาตุชนิดหนึ่ง ถ้าได้ยินคำว่า “ธาตุ” เป็นเราหรือเปล่า ไม่เป็นเรา รูปธาตุรู้จักรูปธาตุหรือยัง รู้จักโดยฟัง ทั้งๆ ที่รูปธาตุกำลังปรากฏ ถ้ารู้จักยิ่งขึ้นก็มีความเข้าใจยิ่งขึ้นว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วกระทบจักขุ แล้วจักขุวิญญาณก็เกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่เราจะมีความเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้คือเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็มีอายุที่สั้นมากเลย การคิดนึกทรงจำเรื่องสีสันวัณณะก็ติดตามมาเป็นเรื่องราวมากมายของสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นเราจะไม่ข้ามพยัญชนะหนึ่งพยัญชนะใดเลย เรียน ฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏเพื่อให้รู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่ามีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในเรื่องของสิ่งที่ปรากฏจริงๆ มากน้อยแค่ไหน นี่คือการอบรมเจริญปัญญาซึ่งเป็นการละโลภะไปในตัว เพราะเหตุว่าไม่ได้ไปทำขวนขวายให้ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 130


    หมายเลข 9163
    29 ส.ค. 2567