ปัจจัยที่ทำให้สติสัมปชัญญะเกิด


    ผู้ฟัง มันก็ยังตั้งไกล แต่ว่าในระยะทางที่สั้นๆ นี่ทุกครั้งที่เราทำกุศลส่วนใหญ่จะอาศัยเหตุการณ์ อาศัยเรื่องราว อาศัยสถานที่อะไรต่างๆ เพราะฉะนั้นกุศลจิตจะเกิดเองต้องเป็นปัญญาจริงๆ เลยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ตามการสะสม เพราะว่าบางคนสะสมอุปนิสัยที่เราจะเห็นได้แม้เป็นเด็กเล็กๆ ก็มีทานกุศลได้ มีศีลกุศลได้

    ผู้ฟัง มีความรู้สึกว่าพอยิ่งฟังไปเยอะๆ บางคนที่ไม่ได้ไปกุศลต้องไม่มี บุญต้องไม่มี

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญคือบุญใคร ถ้าบุญเรา กับขณะที่ปัญญาสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรม และมีความเข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้นว่าไม่ใช่ตัวตน

    ผู้ฟัง ตรงไม่ใช่ตัวตนคงจะยากมาก ทุกอย่างก็ต้องเราไปถวายนะ เรานะ เราต้องเข้าไปนะ เราต้องหยิบ เราต้องจับ มันยังเป็นอยู่

    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ต้องอาศัยพระธรรมที่ทรงแสดง ไม่มีใครประมาทเลยว่าจะไปรู้ได้หรือละกิเลสได้ ถ้าไม่อาศัยความเข้าใจของเราจากการฟังพระธรรม ฟังเพื่อให้เป็นความเข้าใจของเราเอง อันนี้สำคัญที่สุด เพราะถ้าไม่มีปัญญาละกิเลสอะไรไม่ได้เลย และกิเลสก็ไม่ใช่ของคนอื่น ก็สะสมอยู่ที่จิตที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็จะเป็นปัญญาที่ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น

    ผู้ฟัง ถ้าพูดถึงการสะสม ถ้าสมมติไม่มีปัญญา ไม่ฟังอะไรเลย สิ่งที่สะสมมาก็แสดงออกมา แถมยังดื้ออีกว่ามันถูก ก็จะยิ่งยากกันใหญ่เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อกี้นี้เราเพียงพูดถึงว่าหลับแล้วก็ต้องตื่น เพราะเหตุว่าถึงกาลที่กรรมทำให้วิบากจิตจะต้องเกิดขึ้นเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แต่ชีวิตในวันหนึ่งซึ่งตื่นแล้ว ส่องไปถึงการสะสมแม้ในขณะที่กำลังหลับ ซึ่งละเอียดมาก ความคิดของเราตั้งแต่เริ่มตื่นจนกระทั่งมาถึงเดี๋ยวนี้แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วส่วนใหญ่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล และอกุศลก็ละเอียดมาก อย่างโลภะที่ไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย แต่มีความสำคัญตนเกิดร่วมด้วย นี่ก็ค่อยๆ โผล่มาให้ค่อยๆ เข้าใจ ทั้งๆ ที่มีแต่ก็เคยเป็นเรา แต่เวลาที่เรากล่าวถึงธรรมก็จะแสดงลักษณะของธรรมนั้นให้เข้าใจขึ้น ให้ละเอียดขึ้น ให้เห็นว่าสภาพธรรมชนิดนี้ต่างกับความเห็นผิด และการที่จะดับกิเลสได้ต้องดับตามลำดับอย่างไร เพราะสำหรับมานะซึ่งมีกันทุกคน ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ดับด้วยอรหัตตมรรค นี่คือผู้ที่ทรงตรัสรู้ความละเอียด เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ เรามีการเคลื่อนไหว เรามีความคิด เรามีการพูด เรามีการกระทำโดยไม่รู้ตัวเลย ทั้งๆ ที่เราก็เรียนเรื่องจิตแต่ละประเภททั้งโลภมูลจิต โทสมูลจิต วิบากจิต แต่ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็คือสิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง แต่ไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าเป็นสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าแม้สภาพธรรมนั้นจะมีเป็นอย่างที่ทรงแสดงแต่การรู้ที่จะรู้ก็ต้องรู้ตรงด้วยปัญญาอีกระดับหนึ่งซึ่งต้องอาศัยการฟัง การพิจารณา และการคลายความเป็นเรา จึงจะเป็นปัจจัยให้กุศลอีกประเภทหนึ่งคือสติสัมปชัญญะมีปัจจัยที่จะเกิด เพราะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม มีลักษณะต่างๆ กำลังปรากฏต้องฟังไปจนกว่าปัญญาจะเพิ่มขึ้น


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 134


    หมายเลข 9203
    28 ส.ค. 2567