สัจจญาณเป็นเพียงชื่อหรือเป็นสภาพธรรม


    เพราะฉะนั้นเพียงกล่าว กับทำจริงๆ ก็ต่างกันแล้วใช่ไหม เลื่อนลอยโดยการเพียงขอ แต่ว่าไม่รู้อะไรเลย กับการที่ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้นในสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพราะว่าเมื่อฟังแล้วก็จะได้ยินคำว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน และก็จะรู้ว่าจิต เจตสิก รูป เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ ขณะนี้ สิ่งที่มีเกิด ปรากฏ ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่กำลังปรากฏในขณะนี้เกิดแล้วจึงปรากฏ แต่ว่าไม่ได้ประจักษ์การดับ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แล้วก็จะรู้ความต่างของจิต เจตสิก รูป และนิพพาน ต้องตามลำดับขั้น เราจะข้ามขั้นไม่ได้เลย ถ้ายังไม่มีความเข้าใจในทุกขอริยสัจจ์ ยังไม่รู้จริงๆ ว่าโลภะที่เรามีกันมากมายในวันหนึ่งๆ เป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์คือสังสารวัฏฏ์ (การเกิด) เพราะว่าโลภะเกิดร่วมกับอวิชชา เมื่อมีความไม่รู้จึงมีความติดข้อง และถ้ายังคงไม่รู้ และติดข้องก็จะเป็นปัจจัยให้ทำกรรมที่สภาพธรรมก็จะเกิดขึ้นตามกรรมนั้นๆ และก็มีการสะสมของกุศล อกุศล ซึ่งก็อัธยาศัยต่างๆ กันตามการสะสม เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นเรื่องละเอียดที่เราสามารถที่จะเข้าใจตามลำดับได้ แต่ต้องเข้าใจถูกว่าเพียงได้ยินชื่อไม่ใช่สัจจญาณ แต่ต้องเป็นความเข้าใจถูกต้องที่มั่นคงในอริยสัจจ์ ๔ จึงจะเป็นสัจจญาณ ซึ่งจะทำหรือนำไปสู่การปฏิบัติถูก

    ถ้าไม่ใช่สัจจญาณ ปฏิบัติผิด ไม่ใช่หนทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ทำอย่างอื่นที่จะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แม้ได้ยินคำว่า สัจจญาณ แม้ได้ยินคำว่า ทุกขอริยสัจจะ หรือว่า สมุทยสัจจะ นิโรธ หรือว่า มรรค ได้ยินเพียงชื่อก็ไม่ใช่สัจจญาณ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ ที่จะต้องรู้ว่าจะใช้คำนี้เมื่อไหร่ ถ้าเป็นสัจจญาณจะนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องจริงๆ แต่ถ้าแม้ศึกษาพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา แต่ว่าการประพฤติปฏิบัติไม่ตรง ที่จะทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมจะไม่ใช่สัจจญาณ เพราะฉะนั้นสัจจญาณก็ไม่ใช่เพียงชื่อที่กล่าว แต่ว่าต้องเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องมั่นคงจริงๆ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 137


    หมายเลข 9238
    29 ส.ค. 2567