โลกของเรื่องราว บัญญัติและสมมุติต่างๆ
ผู้ฟัง การบรรยายจะมีข้อความหนึ่งของท่านอาจารย์ที่บอกว่า “ เรากำลังศึกษาธรรม หรือเรากำลังศึกษาตัวเอง หรือเรากำลังศึกษาสภาพธรรม ” ไม่เข้าใจตรงนี้
ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะได้ฟังธรรมมีเรา และก็มีเรื่องราวมากมายโดยที่ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นจริงๆ แล้วถ้าไม่มีสภาพธรรม เรื่องราวต่างๆ ก็ไม่มี เรา ก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเคยเข้าใจว่าเป็นเรา แล้วก็มีเหตุการณ์ต่างๆ ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เราจะไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วขณะนั้นจริงๆ คืออะไร ก่อนที่เราจะคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ต่างๆ มีอะไร ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้น แต่ละอย่าง ก็ไม่สามารถที่จะมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นได้เลย เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ก็คือ จิต ใช้คำว่า “ จิต ” แล้วก็ “ เจตสิก รูป นิพพาน ” ทำไมมีเพียงเท่านี้ ในเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ก็มากมายเหลือเกินในวันหนึ่งๆ มีทั้งเรา มีทั้งเขา มีเรื่องราวมากมายในหน้าหนังสือพิมพ์ ในนิตยสารต่างๆ แต่ทรงแสดงว่าสภาพธรรมที่มีจริง มีเพียง ๔ อย่างคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาธรรม เราก็ยังมีความเข้าใจอย่างมั่นคงว่ามีเราแน่นอน แล้วก็มีสิ่งต่างๆ ด้วยตามเหตุการณ์ต่างๆ แต่เมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยว่า แท้ที่จริงแล้ว อย่างอื่นไม่มีจริงๆ สิ่งที่มีจริงๆ ก็คือ จิต เจตสิก รูป เท่านั้นเองที่เป็นสภาพธรรมที่เกิดเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ส่วนนิพพานมีด้วย เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งไม่มีในชีวิตประจำวัน เพราะเหตุว่าผู้ที่สามารถที่จะรู้นิพพาน โดยการประจักษ์ลักษณะของนิพพาน ต้องเป็นปัญญาที่ได้อบรมแล้ว จากการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้นสำหรับชาวโลกที่ไม่ได้ฟังธรรม เป็นอีกโลกหนึ่ง คือโลกของเรื่องราว เรื่องของบัญญัติ สมมติต่างๆ เรื่องของชื่อต่างๆ เรื่องของภาพต่างๆ เรื่องของเหตุการณ์ความคิดนึกต่างๆ แต่สำหรับผู้ที่ศึกษาธรรมก็เริ่มที่จะเข้าใจว่าตามความเป็นจริง โลกที่เคยเป็นเรา และเป็นเหตุการณ์ต่างๆ ไม่มีเลย แต่ว่ามีสภาพธรรมซึ่งมีจริงๆ คือจิต เจตสิก รูป ซึ่งเกิดดับ
ที่มา ...