กามราคานุสัยและภวราคานุสัย
ผู้ฟัง เรื่องของกามราคานุสัยกับภวราคานุสัย ถ้ากามราคานุสัยก็พอจะเข้าใจว่าเป็นความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส เมื่อดับไปแล้วก็เป็นการสั่งสม ถ้าเป็นภวราคานุสัย จะเห็นได้ในชีวิตประจำวันไหม
ท่านอาจารย์ ถ้า แยกก็กล่าวว่ามีความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสเป็นกามราคานุสัย แต่ถ้าไม่แยก ยินดีในภพด้วย เพราะเหตุว่ามีความมี ความเป็น ที่จะเป็นบุคคลที่ยังมีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แต่ถ้าแยก ก็เป็นกามราคานุสัย กับภวราคานุสัย เพราะเหตุว่าผู้ที่ดับกามราคานุสัยได้แก่พระอนาคามีบุคคล แต่ว่าผู้ที่จะดับภวราคานุสัยคือพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นกล่าวรวมได้บางครั้งบางแห่ง อย่างกามุปาทาน หมายความถึงความยินดีติดข้องทั้งในกาม และในภพ
อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงความเป็นพรหมบุคคลก็จะเห็นได้ว่าไม่มีความติดข้องในกาม แต่ว่ายังมีความยินดีในเป็นภวราคะอยู่
ท่านอาจารย์ แต่ความติดข้องในภพของผู้ที่ยังอยู่ในกามภูมิก็คือ ติดข้องในภพที่เป็นไปในกาม และธรรมที่ทรงแสดงด้วยพระปัญญาที่ตรัสรู้สภาพธรรมทั้งปวงโดยสิ้นเชิง จะเห็นได้ว่าละเอียดมาก โลภะเป็นปัจจัยให้เกิดทิฏฐิ เช่นเดียวกัน ทิฏฐิก็เป็นปัจจัยให้เกิดโลภะได้ เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวโดยปัจจัยที่กว้างขวาง ทุกอย่างก็เป็นปัจจัยกันได้ แต่ถ้ากล่าวโดยปัจจัยเฉพาะอย่างๆ ก็ต้องแยกด้วย นี่ก็คือความละเอียดของพระธรรม
เรื่องของธรรมก็แป็นเรื่องของชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะได้ฟังแล้วฟังอีก หลายๆ ชาติ แต่ประโยชน์สูงสุดก็คือว่า ได้เข้าใจจริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะว่าตั้งแต่เกิดจนตาย ก็จะต้องมีสิ่งที่ปรากฏได้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วก็ไม่ขาดเลย แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ปรากฏ ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏเพียงชั่วคราว ที่สั้นมาก เล็กน้อยมาก แต่ว่าถ้าเราไม่ได้ยินได้ฟังเรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏเลย เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงซึ่งผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสรู้ และก็ได้ทรงแสดง สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว และอีกไม่นานจะอันตรธาน นี่ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังๆ ด้วยความนอบน้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตาม แม้ในขั้นของกาย ของวาจา ของใจ และการอบรมเจริญปัญญาด้วย เพราะว่าเรื่องของกิเลส มากมายมหาศาล ถ้ารู้ แต่ถ้าไม่รู้ก็ไม่เห็นมีอะไร เราก็ไม่ได้ไปทำทุจริตกรรมอะไร แต่ว่าระหว่างที่ยังไม่ได้ทำทุจริตกรรม จิตเศร้าหมองเป็นอกุศลหรือว่าจิตผ่องใสเป็นกุศล ก็เป็นสิ่งที่ถ้าพระธรรมไม่ได้ทรงแสดงโดยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีบุคคลใดที่สามารถจะรู้ว่า ขณะนี้ที่กำลังเห็น เกิดขึ้น และดับไป
ที่มา ...