รู้ว่าเป็นนามธรรมแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล


    ผู้ฟัง เรามีฉันทะ ใคร่ที่จะรู้ ใคร่ที่จะศึกษา อันนี้อาจจะใคร่ที่จะรู้ว่า สิ่งที่เราเรียนธรรมมา แล้วสติอาจจะระลึกว่าที่เรียนมามันถูกต้องหรือเปล่า ก็เรียนถามผู้รู้ว่าอันนี้มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าไปปัดอยู่ที่โลภะหมด ดิฉันก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วย เพราะบางขณะจิต เขาใคร่ที่จะรู้ได้ เขามีฉันทะที่จะรู้ มีฉันทะที่จะศึกษา

    ท่านอาจารย์ ต้องทราบว่าฉันทเจตสิกต่างกับโลภเจตสิก โลภะเป็นสภาพที่ติดข้อง ต้องการ อยาก เพลิดเพลิน เป็นต้น ขณะที่โลภะเกิด ฉันทเจตสิกก็เกิดร่วมด้วยไม่ใช่ว่าขณะที่โลภะเกิดไม่มีฉันทเจตสิก แต่จะมีทั้งฉันทเจตสิก และโลภเจตสิก สำหรับขณะที่เป็นกุศล จะมีฉันทเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ไม่มีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นแม้จะกล่าวว่าฉันทะจะเกิดกับกุศลก็ได้ อกุศลก็ได้ แต่ก็ต้องรู้ว่าขณะที่อกุศลเกิด เช่นโลภะ ก็มีฉันทเจตสิกเกิดร่วมด้วยแล้ว เพราะฉะนั้น ขณะนั้นมีทั้งฉันทเจตสิก และมีทั้งโลภเจตสิก แม้ขณะที่เป็นโทสมูลจิต กำลังขุ่นเคืองใจ มีฉันทเจตสิกเกิดร่วมด้วย มีความพอใจ ในความโกรธ ในสภาพที่โกรธ ความโกรธจึงเกิดขึ้นร่วมกัน ในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะกล่าวโดยที่ว่าไม่รู้ หรือว่าประมวล หรือว่าอย่างหยาบๆ ว่าต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คนที่มาฟังธรรม เวลาที่คิดจะมาฟัง ที่จะได้เข้าใจธรรม ขณะนั้นเป็นกุศลจิต ก่อนจะมาฟังก็ต้องแต่งตัว กำลังแต่งตัวเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล มีความตั้งใจจะมาฟัง จนกระทั่งถึงเดินแต่ละก้าวเข้ามาที่มูลนิธิ นี่ ขณะนั้นจะรู้ได้ไหมว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ต้องอาศัยการฟัง การพิจารณา การอบรมสติสัมปชัญญะขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ และแม้ว่าสภาพธรรมขณะนั้นปรากฏก็เพียงขั้นต้น รู้ลักษณะที่เป็นรูปธรรมหรือลักษณะที่เป็นนามธรรม เพราะความจริง ขณะที่สติระลึกลักษณะที่แข็ง กำลังมีแข็ง ขณะนั้นก็จะค่อยๆ ชินกับแข็งซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปนั่งคิดนึก ว่าขณะนั้นเป็นรูปธรรม หรือว่าเวลาที่ เป็นสภาพคิดนึกตาม เพราะว่าเราไม่ได้มีแต่เห็น พอเห็นแล้วก็คิดต่อไป ทำให้จำสิ่งที่กำลังปรากฏได้ ขณะนั้นก็คือว่ากำลังนึกคิดเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้น เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล นี่ก็แสดงให้เห็นว่าขณะที่คิดนึก จะต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ที่จะกล่าวว่า คิดนึกไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล ไม่ได้ สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ แม้ขณะคิดนึกนั่นก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ขั้นต้นไม่ใช่ไปรู้สภาพธรรมที่แม้เป็นกุศลก็เกิดแล้วดับ แม้เป็นอกุศลก็เกิดแล้วดับ แต่ว่าขณะที่กำลังมีลักษณะของสภาพรู้ ซึ่งเราไม่เคยชินเลย แม้แต่จะกล่าวอยู่ตลอดเวลาว่าขณะเห็นขณะนี้ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีรูปร่าง และกำลังเห็น แม้ว่าจะพูดอย่างนี้ แต่ธาตุซึ่งเป็นนามธาตุที่เห็นก็ไม่ได้ปรากฏในลักษณะของความเป็นธาตุ ซึ่งไม่มีอะไรเจือปนเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อมีการรู้ลักษณะที่เป็นสภาพรู้ ค่อยๆ เข้าใจในลักษณะนั้น เพื่อที่จะรู้ว่าไม่ใช่เราที่คิด ไม่ใช่เราที่เป็นกุศล อกุศล แต่ลักษณะนั้นเป็นนามธรรม

    เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่การที่สามารถจะไปรู้ได้ในสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับอย่างรวดเร็วว่า ขณะนั้นเป็นอะไร นอกจากจะถึงขณะที่ปัญญาสมบูรณ์จริงๆ สามารถที่จะรู้ชัดในการเกิดดับ ไม่มีความสงสัยในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ลักษณะนามธรรมแต่ละลักษณะ ก็ปรากฏที่เห็นว่าเป็นนามธรรม เช่นความรู้สึก ไม่ใช่ความคิด แต่ความคิดเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ต้องเป็นการที่เป็นปัญญาที่สามารถจะรู้ในขณะนั้นได้ ถ้ามิเช่นนั้นก็รู้เพียงว่าเป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม

    ขณะนี้ ทุกคนกำลังนั่งฟังธรรม เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าสลับกันไปนี่ถูก แต่ถ้าบอกว่าเป็นกุศลตลอด เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คือต้องเป็นผู้ที่ตรง ตั้งแต่ขั้นของความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้นคุณวิจิตรเดินเข้ามา ขณะที่แต่ละก้าวเข้ามาฟังเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล

    อ.วิชัย เดินเข้ามาด้วยกุศลจิต

    ท่านอาจารย์ เวลาที่เดินเข้ามาต้องเห็นถึงได้เดินเข้ามาได้ ใช่ไหม เห็นแล้วก็ยังต้องคิดด้วย มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นอะไร ถูกต้องไหม ขณะที่คิดนั่น เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล หรือขณะที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เช่นเห็นรองเท้าที่ถอดไว้ เห็นกระถางต้นไม้ ไม่ใช่เพียงเห็น แต่ว่ารู้สิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ขณะนั้น เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

    อ.วิชัย กำลังจะถามว่าเดินเข้ามา

    ท่านอาจารย์ เบียดเบียนใครหรือเปล่า

    อ.วิชัย ไม่เบียดเบียน

    ท่านอาจารย์ มีเจตนาประทุษร้ายหรือเปล่า

    อ.วิชัย ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นอกุศลจิตที่ไม่ใช่อกุศลกรรมบถ

    อ.วิชัย ไม่มีวิบากหรือ

    ท่านอาจารย์ สะสม เป็นปัจจัย เดี๋ยวนี้มีวิบากไหม

    อ.วิชัย มี

    ท่านอาจารย์ ขณะไหน

    อ.วิชัย เห็น

    ท่านอาจารย์ ขณะเห็นเท่านั้น ถ้าคิด ไม่ใช่วิบาก

    สภาพธรรมเกิดดับอย่างรวดเร็ว ให้ทราบว่า เมื่อเห็นแล้ว ก็จะต้องรู้รูปร่างสัณฐานของสิ่งที่เห็น ขณะที่กำลังรู้รูปร่างสัณฐานของสิ่งที่เห็น เป็นจิตอะไร เป็นกุศลหรือเปล่า มองเห็นเป็นรองเท้าอย่างนี้ เป็นกุศลหรือเปล่า ต้องมีเห็น แล้วก็คิดถึงรูปร่างสัณฐาน ขณะที่รู้รูปร่างสัณฐานนั้น ไม่ใช่เห็น เป็นการคิดนึกถึงสัณฐาน ขณะนั้นเป็นกุศลหรือเปล่า

    อ.วิชัย เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ เป็นกุศลที่เป็นไปในทาน หรือศีล หรือภาวนา ถ้ากล่าวว่าเป็นกุศล ที่คุณวิจิตรกล่าวว่าเข้าใจแล้วเป็นความเข้าใจแล้วขั้นฟัง ความเข้าใจแล้วขั้นไตร่ตรองในเหตุผล หรือว่าเป็นความเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏจริงๆ ว่าเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นคำว่า “เข้าใจแล้ว” เป็นการไตร่ตรอง ยังมีเรื่องที่จะต้องไตร่ตรองอีกมาก เพราะฉะนั้นยังไม่แล้ว


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 141


    หมายเลข 9487
    29 ส.ค. 2567