ดับความติดข้องเป็นลำดับขั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อละความเห็นผิดที่เกิดร่วมกับโลภะได้แล้ว โลภะที่เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จะละได้ด้วยอะไร เพราะยังมีอยู่ ยังไม่ได้ ดับไปก็จะต้องมีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น โดยที่ว่าขณะใดก็ตามที่มีการระลึก รู้ลักษณะของสภาพธรรมจะไม่มีความเห็นผิดเกิดเป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน เพราะ ฉะนั้นพระโสดาบันก็จะเห็นสภาพธรรมละเอียดขึ้น แม้แต่ความติดข้องซึ่งเป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอย่างหยาบ เริ่มจะเห็นว่าการติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทั้งอย่างหยาบ และก็อย่างเบาบางด้วย เพราะฉะนั้นเมื่ออบรมเจริญปัญญารู้ แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ถึงการรู้แจ้งพระนิพพานอีกด้วย ก็เป็นปัจจัยให้ดับความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอย่างหยาบ เมื่อเป็นพระสกทาคามีก็อบรมเจริญสติปัฏฐานต่อ ไป หิริโอตตัปปะก็จะเห็น และละอายในอกุศลแม้อย่างละเอียดที่เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ละเอียดกว่า พระสกทาคามี เมื่อได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็สามารถที่จะดับ ความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะหมด ไม่เกิดอีกเลย แต่ก็ยังมีกิเลสที่เห็น ภพชาติยังเป็นสุข เพราะว่าสำหรับผู้ที่จะเห็นทุกข์ก็เห็นตามลำดับ ถ้าไม่รู้ว่าเพราะมีการ ยึดถือว่าเป็นเราก็ติดข้องมาก แต่พอรู้ว่าไม่มีเรา ความติดข้องก็ยังมี แต่ไม่มีความเป็นเรา จนกระทั่งถึงการที่ว่าแม้ไม่มีการติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ยังมีความติด ข้องในภพ ในกุศลจิตที่ไม่เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ยังคงไม่มีหิริ โอตตัปปะจนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ เพราะว่าอบรม และก็เห็นโทษ และก็ ค่อยๆ มีหิริโอตตัปปะเพิ่มขึ้นในสภาพที่เป็นเพียงชั่วคราว และก็ดับไป ก็สามารถที่จะดับ กิเลสได้หมดเป็นสมุทเฉทด้วยอรหัตตมรรคจิต
ที่มา ...