สติเพียงอาศัยระลึกแต่ปัญญารู้ว่าสิ่งนั้นมีเพียงชั่วขณะ
ถ้าพูดถึงธรรมก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าเราจะเคยฟังเรื่องสิ่งที่กำลัง ปรากฏมาแล้วมากน้อยเท่าไหร่ในชาตินี้หรือในชาติก่อนๆ สิ่งที่กำลังปรากฏก็ยังคง ปรากฏ ไม่ได้หายไปไหนเลย มีอยู่ทุกวัน ทุกขณะที่มีตาเห็นสิ่งที่ปรากฏ จิตปรากฏรู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งหนึ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหูขณะนี้ก็กำลังมีสิ่งหนึ่งที่กำลังปรากฏทางหู เราก็ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงตั้งแต่นานแสนนานมาแล้ว แต่ความรู้ความเข้าใจของเราจะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ ไม่ได้ไปอยู่ที่ตัวเลขหรือว่าชื่อต่างๆ แต่เรามีความเข้าใจที่มั่นคงว่าพระธรรมที่ทรงแสดงๆ ให้ผู้ที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ได้มีความค่อยๆ เข้าใจถูก ขึ้นตั้งแต่ขั้นของการฟังว่าชีวิตของเราก็ไม่พ้นจากสิ่งที่กำลังปรากฏเลย แต่ว่าเราไม่เคย รู้เพราะว่าถูกปิดบังด้วยความไม่รู้ และด้วยการยึดถือว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ เที่ยง ซึ่งความจริงสิ่งที่เที่ยงไม่มีเลย เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความเข้าใจในสิ่งที่กำลัง ปรากฏจากขั้นการฟัง เพราะสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้มีเพราะรู้ ถ้าไม่มีการเห็นสิ่งนี้จะ ปรากฏไม่ได้ ถ้าไม่มีการได้ยินซึ่งเป็นสภาพรู้ เสียงก็ไม่สามารถจะปรากฏได้ ทั้งๆ ที่ทุก สิ่งทุกอย่างเหล่านี้มี แต่ว่ารู้ว่ามีเมื่อมีจิตหรือสภาพรู้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะ ได้ฟังว่าปรมัตถธรรมมี ๔ คือจิต เจตสิก รูป นิพพาน เราเพียงคุ้นหูกับชื่อ แต่ชื่อที่คุ้นหูก็ จะทำให้เราฟัง และมีความเข้าใจว่าสิ่งที่กำลังกล่าวถึงมีจริงๆ ในขณะนี้ และก็สามารถจะ พิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความรู้ถูก ความเห็นถูกตามที่ทรงแสดงทุกประการ ไม่ ใช่ว่าลืมไปเลยว่าขณะนี้มีสภาพธรรม และก็มีเรื่องราวอยู่ในหน้านั้นบรรทัดนี้ หนังสือเล่ม นี้ แต่ทั้งหมดก็เพื่อที่จะให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น เวลาที่ศึกษาธรรมหรืออภิธรรมก็มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าศึกษาธรรมที่มีจริง และกำลัง ปรากฏ แม้แต่บางคำที่เราอาจจะได้ยินชินหู สิ่งที่มีคือขณะนี้ทุกคนมีกายเพียงรู้ ถูกต้อง ไหม แค่นี้ แค่คำเดียว กายนี่เพียงรู้ ถ้าไม่มีสภาพรู้กายจะปรากฏได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะ ฉะนั้นกว่าเราจะเข้าถึงความหมายของรู้ หรือสภาพรู้ หรือธาตุรู้ซึ่งกำลังรู้สิ่งที่กำลัง ปรากฏ นี่ก็เป็นสิ่งที่เราจะขาดการไตร่ตรองไม่ได้เลย สิ่งที่มีเพียงรู้จริงๆ เพราะเหตุว่ารู้ แล้วก็ดับไป เพียงรู้ยังไม่พอเพราะว่าใครๆ ก็รู้ ถามใครดูว่าเห็นไหม เขาก็ตอบว่าเห็น แต่เขาไม่สามารถจะรู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นธรรมเป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็น ธาตุที่สามารถรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏให้รู้
เพราะฉะนั้นเพียงธาตุรู้ที่มีก็ยังไม่พอ เพียงอาศัยระลึก ต้องมากกว่านั้นอีก เห็นก็ผ่านไป หรือเวลานี้เห็นก็กำลังมี เพียงรู้ว่ามี แต่ว่ายังไม่ใช่ปัญญาที่อาศัยระลึกคือสติจะระลึกที่ไหนในเมื่อสิ่งที่มีจริงมี แล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการฟังคือสิ่งที่มีจริงก็ยังมีอยู่ แล้วก็ค่อยๆ รู้สิ่งนั้นขึ้น แล้วแต่ ว่าจะเป็นระดับขั้นใด แต่ว่าถ้าถึงระดับขั้นที่เพียงอาศัยระลึก เราเข้าใจเพิ่มขึ้นใช่ไหม สิ่ง นี้ที่รู้ว่ามีแล้วยังสติเพียงอาศัยระลึกเพื่อรู้ว่าสิ่งนั้นมีชั่วขณะ อย่างกำลังเห็น พอได้ยิน ชั่ว ขณะเห็น เพราะว่าขณะที่ได้ยินไม่ใช่เห็น ขณะที่กำลังได้ยินเสียง เสียงชั่วขณะที่กำลัง ได้ยิน แต่ไม่ใช่ขณะที่เห็น
นี่คือความจริงกว่าจะฟัง และสามารถที่จะอบรมปัญญาความรู้ ลักษณะของสภาพธรรมจนชิน จนละคลายความไม่รู้ ละคลายการยึดถือสภาพธรรมนั้น ว่าเป็นเรา และก็มีความรัก ความชังในสิ่งที่งปรากฏ และก็เพิ่มความรู้ว่าเพียงอาศัยระลึก เพราะทันทีที่ระลึกมีลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ อย่างหนึ่งกำลังให้ระลึกแล้วก็หมดไป นี่คือการอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะให้เข้าถึงอรรถความเหมายของพระธรรมที่พระผู้มี พระภาคทรงแสดงเกื้อกูลให้สัตว์โลกสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญารู้ความจริงของสิ่งที่ กำลังปรากฏ ไม่มีอะไรที่จะจริงกว่านี้ ถ้าไม่ปรากฏจะจริงได้อย่างไร สิ่งที่ดับไปแล้วไม่ กลับมาอีก สิ่งที่ยังไม่เกิดไม่มีใครจะรู้ได้เลยว่ายังไม่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่กำลังมีอาศัยระลึก เพื่อรู้ความจริง ทั้งหมดที่เคยเป็นเราเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้ารู้ความจริงๆ ๆ เป็นเพียงสภาพ ธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ นี่คือการฟังของเราไม่ว่าจะเป็นขั้นอนุบาล ขั้นต้นยังไง ก็มีความมั่น คงที่เป็นสัจจญาณ
ที่มา ...